الأربعاء، 31 ديسمبر 2008

สิ่งมหัศจรรย์จากก้อนเลือด

สิ่งมหัศจรรย์จากก้อนเลือด

ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเวลาถูกมีดบาดหรือแผลเก่าเริ่มมีเลือดไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ในไม่ช้าเลือดที่ไหลออกมานั้นก็จะหยุด เพราะที่ไหนมีเลือดไหลเลือดก็จะก่อตัวขึ้นเป็นก้อนเพื่อเยียวยารักษาแผลนั้นให้ในเวลาและตรงบริเวณที่ถูกต้อง
นี่อาจเป็นปรากฏการณ์ปกติสำหรับพวกเรา แต่นักเคมีชีววิทยาได้แสดงให้เราเห็นจากการศึกษาค้นคว้าว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากระบบที่ทำงานอย่างสลับซับซ้อนและในระบบนี้หากขาดองค์ประกอบอย่างหนึ่งอย่างใดหรือองค์ประกอบใดได้รับความเสียหาย มันก็จะทำให้กระบวนการของระบบนี้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
เลือดจะแข็งตัวเป็นก้อนในเวลาที่พอเหมาะพอดีและเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วก้อนเลือดก็จะละลายไประบบนี้ทำงานอย่างไม่ผิดพลาดแม้แต่ในเรื่องรายละเอียดเล็กน้อยที่สุด
ถ้าหากว่าเลือดไหล ก้อนเลือดก็จะก่อตัวขึ้นทันทีเพื่อป้องสิ่งมีชีวิตมิให้ตาย ยิ่งไปกว่านั้นก้อนเลือดจากปกปิดบาดแผลทั้งหมดและที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมันจะจับตัวเป็นก้อนอยู่เหนือและจะยังคงอยู่ด้านบนของบาดแผลเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วเลือดทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตก็จะแข็งตัวและทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นตายได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเลือดจะต้องก่อตัวในเวลาที่พอเหมาะพอดีตรงที่ที่ถูกต้อง
ส่วนที่เล็กที่สุดของไขกระดูกคือเกล็ดเลือดหรือธร็อมโบไซต์ (Thrombocytes)นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เซลเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการแข็งตัวของเลือด โปรตีนอย่างหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าฟอนวิลเลแบรนดร์จะเป็นตัวตรวจสอบให้แน่ใจว่าในกระแสโลหิตที่ไหลเวียนอย่างต่อเนื่องนั้น เกล็ดเลือดเหล่านี้จะไม่หายไปตรงที่ได้รับการบาดเจ็บ เกล็ดเลือดที่ไปกระจุกตัวอยู่ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บนั้นจะปล่อยสารอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกล็ดเลือดอื่นๆมารวมตัวในที่เดียวกันและในที่สุด เซลเหล่านี้จะขึ้นมาบนแผลที่เปิดอยู่ หลังจากนั้นมันก็จะตายหลังจากที่ได้ทำหน้าที่ของมันในการขึ้นมาอยู่ที่แผลแล้ว การเสียสละชีวิตของมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการแข็งตัวของเลือด
ธร็อมบินเป็นโปรตีนอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดง่ายขึ้น สารนี้จะถูกสร้างขึ้นเฉพาะตรงที่มีบาดแผล การสร้างโปรตีนนี้จะต้องไม่มากหรือน้อยไปกว่าที่จำเป็นและจะต้องเริ่มต้นและหยุดในเวลาที่ถูกต้องด้วย มีตัวเคมีมากกว่ายี่สิบชนิดที่ถูกเรียกว่าเอ็นไซม์ซึ่งมีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างธร็อมบิน เอ็นไซม์เหล่านี้สามารถเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาใหม่และหยุดมันได้อีก กระบวนการนี้มีความละเอียดอ่อนมากจนธร็อมบินจะก่อตัวขึ้นก็ต่อเมื่อมีแผลที่แท้จริงเกิดขึ้นแก่เนื้อเยื่อเท่านั้น
ทันทีที่เอ็นไซม์ทำให้เลือดแข็งตัวเกิดขึ้นมาถึงระดับที่น่าพอใจในร่างกายแล้ว ไฟบริโนเจนที่ประกอบด้วยโปรตีนก็จะก่อตัวขึ้น ในชั่วระยะเวลาสั้นๆก็จะมีเส้นใยเกิดขึ้นตรงบริเวณที่มีเลือดไหลออกมา ขณะเดียวกันเกล็ดก็ยังคงเข้ามาสะสมที่บริเวณบาดแผลอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ถูกเรียกว่าก้อนเลือดนั้นก็คือตัวอุดที่เกิดขึ้นจากการสะสมของเกล็ดเลือดนี่เอง เมื่อบาดแผลได้รับการเยียวยารักษาแล้ว ก้อนเลือดนี้ก็จะหายไป ระบบที่สามารถทำให้เกิดก้อนเลือดได้นี้จะกำหนดว่าจะให้เลือดคงแข็งตัวอยู่หรือจะสลายมันนั้นย่อมต้องมีความละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนมาก ระบบนี้ทำงานอย่างไม่ผิดพลาดแม้แต่ในเรื่องรายละเอียดที่เล็กที่สุด
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากมีปัญหาเล็กน้อยภายในระบบที่ทำงานอย่างสมบูรณ์นี้ ?ตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีการแข็งตัวในเลือดแม้แต่ภายนอกบาดแผลหรือถ้าหากก้อนเลือดสามารถแตกได้อย่างง่ายดายจากบาดแผล? คำตอบเดียวต่อคำถามนี้ก็คือ กระแสเลือดที่ไหลไปยังอวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างเช่นหัวใจ สมองและปอดก็จะถูกอุดตันด้วยก้อนเลือดซึ่งจะทำให้เสียชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในความจริงดังที่กล่าวมานี้แสดงให้เราเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าร่างกายมนุษย์นั้นได้ถูกออกแบบมาอย่างไม่มีการผิดพลาด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายว่าระบบการแข็งตัวของเลือดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญหรือ “การวิวัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป”ดังที่ทฤษฎีแห่งการวิวัฒนาการได้ยืนยันไว้ ระบบที่ถูกสร้างและคำณวนไว้อย่างรอบคอบเช่นนี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการสร้างสรรค์อันถูกต้องสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างเราขึ้นมาและได้ให้เรามาอยู่บนโลกนี้ได้สร้างร่างกายของเราขึ้นมาด้วยระบบนี้ซึ่งคอยให้คุ้มครองเราในการได้รับบาดเจ็บหลายครั้งตลอดชีวิตของเรา
การแข็งตัวของเลือดเป็นสิ่งสำคัญไม่เพียงแต่เฉพาะบาดแผลที่มองเห็นเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญสำหรับการแตกของหลอดเลือดเล็กๆในร่างกายของของเราซึ่งเกิดขึ้นตอลดเวลา ถึงแม้เราจะไม่สังเกตเห็น แต่ในร่างกายของเราก็มีเลือดไหลเล็กๆภายในอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราชนประตูหรือนั่งลงแรงๆ หลอดเลือดเล็กๆก็จะแตก เลือดที่ไหลนี้จะหยุดทันทีโดยวิธีการของระบบที่ทำให้เลือดแข็งตัวและเส้นเลือดเล็กๆเหล่านี้ก็จะถูกทำให้เข้าสู่สภาพปกติของมันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากผลของมันรุนแรงมากไปกว่านั้นและมีเลือดไหลภายในอย่างแรงมันก็จะก่อให้เกิดรอยจ้ำสีม่วง
มนุษย์ที่ไม่มีระบบการแข็งตัวของเลือดจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เลือดไหล และคนไข้ที่ขาดระบบนี้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แม้แต่มีเลือดไหลเพียงนิดเดียวภายในร่างกายจะโดยการลื่นหรือหกล้มก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนที่ขาดระบบนี้เสียชีวิต ดังนั้น ด้วยความจริงดังที่กล่าวมา แต่ละคนควรจะพิจารณาถึงความมหัศจรรย์ในการสร้างสรรค์ภายในร่างกายของตัวเขาเองและเขาควรจะกตัญญูรู้คุณต่ออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างร่างกายของเขาขึ้นมาอย่างไม่มีที่ติ ร่างกายของเราเป็นพรประเสริฐจากพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อเรา ซึ่งแม้แต่เพียงเซลหนึ่งเราก็ไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ อัลลอฮได้ทรงกล่าวไว้แก่มนุษยชาติว่า : “เราได้สร้างสูเจ้ามา ดังนั้นไฉนสูเจ้าจึงไม่ยืนยันความจริง ?” (กุรอาน 56:57)

โดย ฮารูน ยะฮฺยา อ.บรรจง บินกาซัน แปล
คัดลอกจาก: ไทยมุสลิมช็อป

















มหัศจรรย์แห่งชั้นบรรยากาศ
เราอาศัยอยู่ในโลกที่พระผู้ทรงสร้างผู้ทรงเมตตาของเราได้ออกแบบมาอย่างเป็นเลิศ และมีความครบถ้วนสมบูรณ์อย่างน่าทึ่ง แม้แต่ในเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระองค์ ลักษณะทางกายภาพของโลกไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง อุณหภูมิและอื่นๆล้วนถูกจัดเตรียมไว้เพื่อชีวิตโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามลักษณะทางกายภาพเช่นนั้นแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้บนโลก ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับชีวิตก็คือองค์ประกอบของบรรยากาศ

ในภาพยนตร์นวนิยายทางวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่านักเดินทางในอวกาศและนักค้นคว้าจะพบดาวที่มีชั้นบรรยากาศที่สามารถหายใจได้อย่างง่ายและมีอยู่ทุกที่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถออกสำรวจจักรวาลที่แท้จริงได้ เราจะพบว่านี่มิใช่เรื่องจริงเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่ดาวดวงอื่นจะมีชั้นบรรยากาศที่สามารถหายใจได้ นั่นก็เพราะว่าบรรยากาศของโลกได้ถูกออกแบบไว้เป็นการเฉพาะเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ในหลายทางด้วยกัน

บรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจน 77% ออกซิเจน 21% และคาร์บอนไดออกไซด์ 1% ทีนี้ขอให้เรามาเริ่มด้วยแกสที่สำคัญที่สุดก่อน คือ ออกซิเจน ออกซิเจนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตมากที่สุดเพราะมันเข้าไปทำปฏิกริยาทางเคมีส่วนใหญ่ที่ให้พลังงานที่ชีวิตต้องการ

เมื่อคาร์บอนทำปฏิกริยากับออกซิเจน ผลที่ตามมาก็คือ มันทำให้มีน้ำ คาร์บอนได้ออกไซด์และพลังงาน พลังงานหน่วยเล็กๆที่ถูกเรียกว่า AIP (แอตเลโนซีน ไตรฟอสเฟต) และได้ถูกใช้ในเซลที่มีชีวิตนี้เกิดขึ้นโดยปฏิกริยานี้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องการออกซิเจนสำหรับชีวิตและทำไมเราต้องหายใจเพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิต สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือว่าเปอร์เซนต์ของออกซิเจนในอากาศที่เราหายใจเข้าไปนั้นได้ถูกกำหนดไว้อย่างถูกดต้องพอเหมาะพอดี

ไมเคิล เดินตัน (Michael Denton) ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า : “ชั้นบรรยากาศของคุณสามารถบรรจุออกซิเจนได้มากกว่านี้และยังทำให้ชีวิตมีอยู่ได้หรือไม่? ไม่เลย ออกซิเจนเป็นสารที่ทำปฏิกริยามาก แม้แต่เปอร์เซนต์ของออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ 21% ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ใกล้กับขอบเขตสูงสุดของความปลอดภัยสำหรับชีวิตที่อุณหภูมิรอบตัว ความเป็นไปได้ของการเกิดไฟไหม้ป่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ทุกๆ 1% ที่มีออกซิเจนเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ”

เจมส์ เลิฟล็อค (James Lovelock) นักเคมีชีววิทยาชาวอังกฤษได้กล่าวว่า : “กว่า 25% พืชพันธุ์ในปัจจุบันของเราน้อยมากที่จะรอดจากไฟป่าที่จะทำลายป่าฝนและทุ่งหญ้าขั้วโลกเหนือ….ระดับออกซิเจนในปัจจุบันอยู่ในจุดที่ความเสี่ยงและผลประโยชน์มีความสมดุลอย่างพอดี”


การที่อัตราส่วนของออกซิเจนในบรรยากาศยังคงอยู่ในปริมาณที่พอดีเช่นนี้นั้นเป็นผลมาจากระบบการหมุนเวียนอันมหัศจรรย์นั่นเอง

สัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่หายใจ แต่พืชกลับทำตรงข้าม กล่าวคือพืชจะหายใจเอาคาร์บอนได้ออกไซด์ที่จำเป็นต่อชีวิตของมันเข้าไปและปล่อยออกซิเจนออกมาแทน เนื่องจากระบบนี้เอง ชีวิตจึงดำเนินต่อไป พืชปล่อยออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศนับเป็นจำนวนล้านๆตันทุกวัน

บรรยากาศและการสูดหายใจเข้าออก


เราหายใจอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เรามีชีวิต ระบบร่างกายของเราถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์จนเราไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับการหายใจ

ร่างกายของเราจะประมาณการว่ามันต้องการออกซิเจนมากน้อยแค่ไหนและก็จะจัดการหาออกซิเจนมาให้ตามจำนวนนั้นไม่ว่าเราจะกำลังเดิน วิ่ง อ่านหนังสือหรือกำลังหลับ เหตุผลที่การหายใจมีความสำคัญต่อเราก็คือการทำปฏิกริยาจำนวนนับล้านที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในร่างกายเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ได้นั้นล้วนต้องการออกซิเจนทั้งสิ้น


การที่ท่านสามารถอ่านบทความชิ้นนี้ได้ก็เนื่องมาจากเซลล์นับล้านที่จอรับภาพในดวงตาของท่านได้รับพลังงานที่มาจากออกซิเจนตลอดเวลา ในทำนองเดียวกัน เนื้อเยื่อในร่างกายของเราและเซลล์ที่สร้างมันขึ้นมาก็ได้รับพลังงานจาก “การเผาไหม้” ขององค์ประกอบคาร์บอนในออกซิเจน ผลผลิตของการเผาไหม้ นั่นคือคาร์บอนได้ออกไซด์ จะต้องถูกปล่อยออกมาจากร่างกาย ถ้าระดับของออกซิเจนในกระแสเลือดของท่านลดลง ผลก็คือการหมดสติและถ้าหากการขาดออกซิเจนเกินกว่าสองสามนาที ผลก็คือการเสียชีวิต

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องหายใจ เมื่อเราหายใจ ออกซิเจนก็จะเข้าไปในห้องเล็กๆประมาณ 300 ล้านห้องในปอดของเรา ห้องเหล่านี้ในปอดและหลอดที่มีรูเล็กๆเชื่อมโยงกับมันได้ถูกออกแบบไว้ให้มีขนาดเล็กมากเพื่อที่จะเพิ่มอัตราการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนได้ออกไซด์ แต่การออกแบบอันสมบูรณ์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยเช่นกัน นั่นคือความหนาแน่น ความเหนียวและความกดอากาศจะต้องถูกต้องตรงกันทั้งหมดสำหรับอากาศที่จะเคลื่อนเข้าไปข้างในและไหลออกมาจากปอดของเรา

เมื่อเราหายใจเข้าไป ปอดของเราก็จะใช้พลังงานเพื่อเอาชนะพลังที่ถูกเรียกว่า
“แรงต้านเส้นทางอากาศ” พลังนี้เป็นผลมาจากแรงต้นของอากาศต่อการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคุณสมบัติทางด้านกายภาพของบรรยกาศ แรงต้านนี้จะอ่อนพอที่ปอดของเราสามารถสูดอากาศเข้าไปและปล่อยมันออกมาด้วยการใช้พลังงานเพียงน้อยนิด ถ้าแรงต้านอากาศสูงกว่านี้ ปอดของเราก็จะต้องทำงานหนักกว่านี้เพื่อที่จะทำให้เราหายใจได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ของเรื่องนี้ก็คือการดูดน้ำเข้าไปในเข็มฉีดยาเป็นเรื่องง่ายแต่ถ้าจะดูดน้ำผึ้งเข้าไปในเข็มฉีดยาก็จะยากกว่า เหตุผลก็เพราะน้ำผึ้งมีความหนาแน่นและมีความเหนียวมากกว่าน้ำ


ปริมาณทางด้านจำนวนของบรรยากาศไม่เพียงแต่จะจำเป็นสำหรับเราเพื่อการหายใจเข้าไปเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับโลกของเราด้วย ถ้าหากความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าปริมาณที่เป็นอยู่ของมัน อัตราการระเหยของน้ำก็จะสูงมาก น้ำที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศก็จะมี “ผลเรือนกระจก” (greenhouse effect) ที่ดักความร้อนมากขึ้นและเพิ่มอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ในทางตรงข้ามถ้าหากความกดสูงมากกว่านี้ อัตราการระเหยของน้ำก็จะน้อยลงและส่งผลให้ส่วนใหญ่ของโลกกลายเป็นทะเลทราย


ทั้งหมดที่ทำให้เกิดความสมดุลนี้ชี้ให้เห็นว่าบรรยากาศของเราได้ถูกออกแบบมาอย่างจงใจและเหมาะเจาะเพื่อให้ชีวิตบนโลกนี้สามารถดำรงอยู่ได้

นี่เป็นความจริงที่ได้ถูกค้นพบโดยวิทยาศาสตร์และมันแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าจักรวาลนี้มิได้เป็นเพียงการเกิดขึ้นโดยบังเอิญของวัตถุ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีผู้ทรงสร้างที่คอยควบคุมจักรวาล ผู้กำหนดรูปร่างของวัตถุตามที่ผู้ทรงสร้างนั้นต้องการ และพระผู้ทรงสร้างนี้อีกเช่นกันที่ปกครองกาแล็กซี่และดวงดาวต่างๆไว้ภายใต้อำนาจของพระองค์

อำนาจอันสูงสุดนั้น คัมภีร์กุรอานบอกเราว่าคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก และโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะและถูกทำให้แผ่ขยายออกไปโดยอัลลอฮฺเพื่อมนุษย์ (ดูกุรอาน 79:30)

อัลลอฮฺคือผู้ทรงทำให้แผ่นดินนี้เป็นที่พำนักของสูเจ้าและชั้นฟ้าเป็นเพดานอันมั่นคง และทรงทำให้สูเจ้าเป็นรูปร่างและทรงทำให้ร่างของสูเจ้าสวยงามและทรงประทานสิ่งที่ดีๆแก่สูเจ้า นั่นคืออัลลอฮฺพระผู้ทรงอภิบาลของสูเจ้า ดังนั้น อัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกทรงเป็นที่จำเริญยิ่ง (กุรอาน 40:64)

..................................................
โดย ฮารูน ยะฮ์ยา แปลโดยอ.บรรจง บินกาซัน , คัดลอกจาก ไทยมุสลิมช็อป

ليست هناك تعليقات:

إرسال تعليق