الأحد، 27 ديسمبر 2009

ดีไซน์รักด้วยศรัทธา


ดีไซน์รักด้วยศรัทธา

ความรัก คือความพูกพันธ์ระหว่างใจดวงหนึ่งกับใจอีกหลายๆดวง โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนว่าจะแบ่งใจให้ใครบ้าง เป็นสิ่งที่ไม่ผิดหากเราคิดที่มีความรัก(แต่ต้องรักในกรอบอิสลาม) ยังดีกว่าเกิดมาทั้งที่ไม่รู้จักคำว่ารักเลย
ความรักในอิสลาม คือ ความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งแปลกปลอม รักที่เกิดจากความศรัทธา และยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮฺ 
ความรักแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ความรักนำมาซึ่งความสุข ความเมตตาปราณี ความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ความสุขของคนที่มีความรักคือการได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุข แม้เราจะเจ็บปวดหรือดีใจก็ตาม เพราะรักคือการให้และการเสียสละ
ความรักระหว่างหญิงชายที่ยังไม่แต่งงานในยุคสมัยโลกาภิวัตน์ (โลกไร้พรมแดน) สังคมที่พร้อมจะตอบสนองอารมณ์ ตันหาที่ไฝ่ต่ำ ได้เกือบ 100 % ถึงกระนั้นก็ตามยังไม่พอกับความต้องการ ความอยาก ความใคร่ ของมนุษย์ที่ปราศจากศรัทธาที่สมบูรณ์
หนุ่มสาวปัจจุบันชอบแสดงออกนอกบทบาท หน้าที่ของพวกเขา คือ การศึกษาหาความรู้เพื่อเป็นเสบียงในอนาคต เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนหนุ่มสาวหันมาแสดงออกนอกบทบาทที่อันควร เช่น ทำหน้าที่เป็นสามีภรรยานอกกฎหมายอย่างภาคภูมิใจ โดยคิดว่านี่แหละคือความรักที่แท้จริง แต่มันเป็นแค่ความลุ่มหลง ความสนุกสนานชั่วคราวที่มีแต่จะนำความทุกข์ ความปวดในภายหลัง

الجمعة، 18 ديسمبر 2009

ใครต้องการหนังสือดีๆๆ

หากท่านผู้ใดต้องการหนังสืออิสลาม ที่สั่งตรงจากประเทศอียิปต์ ราคาเป็นการเอง สามารถติดต่อมาได้ ที่ 087-0002331 หรือ m.almaarify@yahoo.com และ bashear02@hotmail.com

الخميس، 19 نوفمبر 2009

ฮัจญ์มับรูรฺ องค์รวมแห่งสาสน์สันติภาพ ตอนที่ ๕


(3) วิถีทัศน์ 3 ประการได้แก่


3.1 การตอบรับคำเชิญชวนของอัลลอฮฺด้วยการน้อมรับคำบัญชาของพระองค์โดยเคร่งครัด โดยผ่านคำพูดที่ว่า لَبَّيْكَ لَبَّيْكَ اللّهُمَّ(ลับบัยกัลลอฮุมมะ ลับบัยกะ) หมายถึง โอ้อัลลอฮฺ ฉันได้ตอบรับคำเชิญชวนของพระองค์แล้ว


3.2 การตอบรับคำเชิญชวนของนบีมูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ด้วยการปฏิบัติตามจริยวัตรของท่าน ที่ปราศจากการอุตริเสริมแต่ง โดยผ่านคำพูดที่ว่า لَبَّيْكَ يا رَسُولَ اللهِ (ลับบัยกะ ยา เราะสูลัลลอฮฺ) หมายถึงโอ้ เราะสูลุลลอฮฺ ฉันตอบรับคำเชิญชวนของท่านแล้ว ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมชีวิตของบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่มีต่อนบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)


3.3 การตอบรับที่จะเชื่อฟังผู้นำผู้ทรงคุณธรรม โดยไม่แสดงอาการกระด้างกระเดื่อง ตราบใดที่ผู้นำสั่งใช้ในสิ่งที่สอดคล้องกับหลักการอิสลาม โดยผ่านคำพูดที่ว่า لَبَّيْكَ يا وَلِيَّ الأَمْرِ (ลับบัยกะ ยา วะลิยัลอัมริ) หมายถึง โอ้ผู้นำของฉัน ฉันเชื่อฟังท่านแล้ว และนี่คือธรรมเนียมชีวิตของบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่มีต่อผู้นำของเขา


วิถีทัศน์ทั้ง 3 ประการข้างต้นถือเป็นเคล็ดลับสำคัญของฮัจญ์มับรูรฺ เพื่อสร้างมุสลิมให้เป็นผู้มีใจภักดีและมีพฤติกรรมน้อมรับ ซึ่งถือเป็นหัวใจของการกระทำความดีทั้งต่ออัลลอฮฺ รสูล ผู้นำและมวลมนุษย์ทั้งหลาย

ด้วยการประกอบพิธีฮัจญ์ที่อยู่บนหลักการดังกล่าวเท่านั้นที่ผู้ประกอบฮัจญ์จะได้รับการตอบรับเป็นฮัจญ์มับรูรฺที่ได้รับการตอบแทนเป็นสรวงสวรรค์ ซึ่งมีผลต่อวิถีชีวิตมุสลิมสู่การใช้ชีวิตที่พอเพียงบนโลกนี้ เป็นผู้ใฝ่โลกอะคีเราะฮฺและไม่หวนกลับกระทำสิ่งอบายมุขทั้งปวง ภายหลังจากกลับสู่มาตุภูมิแล้ว
ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการฮัจญ์ ไม่ว่าในระดับเอกชนหรือรัฐบาล จำเป็นต้องตระหนักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการยกระดับและพัฒนาฮัจญ์สู่การเป็นฮัจญ์มับรูรฺ ในการทำหน้าที่เป็นเบ้าหลอมสร้างประชากรผู้ทรงคุณธรรมและมีคุณภาพ มีภูมิคุ้มและเรืองปัญญา เหมาะสมเป็นชาวสวรรค์ที่นอบน้อมต่ออัลลอฮฺและเอื้ออาทรต่อบ่าวของพระองค์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศอย่างยั่งยืน สู่การสถาปนาความเป็นเอกภาพของประชาชาติที่ดีเลีศที่เผยแผ่และมอบความโปรดปรานแห่งอิสลามแก่สากลจักรวาล


วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของหลักศาสนบัญญัติในอิสลาม อันประกอบด้วย คำปฏิญาณตน การละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกาตและทำฮัจญ์ นอกเหนือจะพยายามฝึกฝนให้มุสลิมหมั่นปฏิบัติเป็นกิจวัตรแล้ว สิ่งที่เป็นแก่นแท้ที่สุดก็คือ การให้มุสลิมรู้จักประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวให้สามารถเข้ามีบทบาทในวิถีชีวิตประจำวัน หาไม่แล้วก็จะเป็นเพียงการท่องคาถาหรือประกอบพิธีกรรมที่ไร้วิญญาณที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมุสลิมเลย


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกอบพิธีฮัจญ์ซึ่งเป็นองค์รวมของสาสน์อิสลาม ที่มุสลิมทุกคนโดยเฉพาะผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ให้ถ่องแท้และรู้แจ้ง หาไม่แล้ว ฮัจญ์ก็จะเป็นเพียงแค่พิธีกรรมที่ปฏิบัติตามเทศกาลเท่านั้น การเดินทางสู่มหานครมักกะฮฺ ก็เป็นเพียงทัศนาจรที่อยู่ภายใต้การจัดการของอุตสาหกรรมธุรกิจการท่องเที่ยว โดยไม่มีโอกาสซึมซาบปรัชญาฮัจญ์ที่แท้จริง เป็นผลให้วิถีชีวิตมุสลิมต้องตกอยู่ในวังวนแห่งภาวะความเสื่อมถอยอย่างไม่มีสิ้นสุด


อัลกุรอานได้กล่าวไว้ ความว่า “ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮฺและสายเชือกจากมนุษย์” (อาละอิมรอน: 112) สายเชือกจากอัลลอฮฺ คือ การประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบที่อัลลอฮฺกำหนดไว้ด้วยการทำความเคารพภักดีต่อพระองค์ ส่วนสายเชือกจากมนุษย์หมายถึง การเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนมนุษย์และการร่วมใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างปกติสุข ซึ่งถือเป็นเป้าประสงค์อันสูงสุดของฮัจย์มับรูรฺ


สังคมมุสลิมในทุกระดับ ไม่สามารถปลดห่วงโซ่ตรวนและวังวนแห่งความเสื่อมถอย เว้นแต่จะยึดมั่นในสายเชือกแห่งอัลลอฮฺและสายเชือกของเพื่อนมนุษย์ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่เป็นพี่น้องกัน โดยยึดมั่นในหลักการเอื้ออาทรและสันติภาพ ซึ่งองค์รวมแห่งสาสน์สันติเหล่านี้ จะถูกผนวกรวมอยู่ใน “ฮัจญ์มับรูรฺ” เท่านั้น


วัสสลาม

ฮัจญ์มับรูรฺ องค์รวมแห่งสาสน์สันติภาพ ตอนที่ ๔


2.2 ประกอบคุณธรรม 5 ประการคือ


2.2.1 การเก็บเกี่ยวและรวบรวมเสบียงสำหรับการเดินทาง โดยที่เสบียงที่ดีที่สุดคือความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ อันหมายรวมถึง ความรู้ที่ได้รับการปฏิบัติ การขอพร (ดุอา) และบทกล่าว (ซิกรฺ) ในโอกาสต่างๆช่วงการทำฮัจญ์ การกระทำสิ่งที่อัลลอฮฺทรงใช้ และละเว้นสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงห้าม เป็นต้น

2.2.2 การโปรยสลาม ไม่ว่าด้วยคำพูด ด้วยการกล่าวอัสสะลามุอะลัยกุม ทั้งต่อคนรู้จักหรือไม่รู้จัก หรือด้วยการกระทำ มุสลิมจะไม่เป็นผู้สร้างความเดือดร้อนหรือลำบากใจแก่ผู้อื่น ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์มีภารกิจหลักที่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาคือการเป็นทูตสันถวไมตรีและสันติภาพระดับสากลที่ยึดมั่นในหลักการ “ไม่มีการกระทำที่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเอง และไม่มีการกระทำที่สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่น”(หะดีษรายงานโดยอิมามมาลิก/1426)

2.2.3 การใช้สัมมาวาจา โดยการใช้คำพูดที่ดีและไพเราะ ที่แสดงถึงความจริงใจของผู้พูด มีการถามไถ่ทุกข์สุขและรับทราบปัญหาของพี่น้องด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน ทำความรู้จักระหว่างผู้ประกอบพิธีฮัจญ์บนพื้นฐานความเป็นภราดรภาพในอิสลาม

2.2.4 การให้อาหาร ซึ่งถือเป็นการให้ทานที่ประเสริฐสุดในช่วงการทำฮัจญ์ การให้อาหารถือเป็นกิจวัตรของมุสลิมอยู่แล้ว อิสลามได้กำชับแก่มุสลิมให้อาหารแก่คนยากคนจน เด็กกำพร้าหรือแม้กระทั่งเชลยศึกที่ถูกจับได้ในสมรภูมิสงคราม เพราะการให้อาหารถือเป็นหลักพื้นฐานของความดีงาม การมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีและเผื่อแผ่เมตตา มุสลิมกระทำการดังกล่าว โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เว้นแต่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺเท่านั้น

2.2.5 การเปล่งเสียงตัลบียะฮฺและการหลั่งเลือดด้วยการเชือดสัตว์ฮัดย์หรือสัตว์กุรบานในช่วงประกอบพิธีฮัจญ์

การละเว้นข้อห้าม 3 ประการ และการประกอบคุณธรรม 5 ประการดังกล่าวช่วงการทำฮัจญ์ ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการได้รับฮัจญ์มับรูรฺ และถือเป็นสาระหลักของความดีที่เป็นหัวใจของฮัจญ์มับรูรฺ ดัง อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า “และความดีใดๆ ที่พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮฺทรงรู้ดี และพวกเจ้าจงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริง เสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความยำเกรง และพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิด โอ้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย” (2/197)

ฮัจญ์มับรูรฺ องค์รวมแห่งสาสน์สันติภาพ ตอนที่ ๓


(2) เงื่อนไข 2 ประการ ได้แก่

2.1 ละเว้นและหลีกเลี่ยงข้อห้าม 3 ประการคือ

2.1.1 ห้ามมิให้มีการสมสู่หรือมีพฤติกรรมที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศการห้ามมิให้มีการสมสู่หรือมีพฤติกรรมที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศนั้น ยังรวมถึงการใช้วาจาเสียดสีกระเซ้าเย้าแหย่ การล่วงละเมิดทางเพศแม้เพียงโดยสายตา มุสลิมไม่ได้รับอนุญาตกระทำการดังกล่าวแม้ต่อภรรยาของตนเอง ตราบใดที่อยู่ระหว่างการประกอบพิธีฮัจญ์ การชุมนุมของผู้คนที่มีการปะปนระหว่างชายหญิง หรือคู่สามีภรรยาตามเทศกาลต่างๆ ของมนุษยชาติ ไม่ว่ามหกรรมกีฬาระดับสากล การอบรมสัมมนานานาชาติ หรือแม้กระทั่งการรวมชุมนุมในนามของเทศกาลแห่งศาสนา ประการหนึ่งที่มีการเตรียมการอย่างใหญ่โตมโหฬารคือการอำนวยความสะดวกในการสนับสนุนโครงการอุตสาหกรรมทางเพศ ให้สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่สำหรับมุสลิมที่กำลังประกอบพิธีฮัจญ์แล้ว เขามิหาญกล้ากระทำการยั่วยุอารมณ์ทางเพศฝ่ายตรงกันข้าม แม้ต่อภรรยาหรือสามีของตนเอง และถือว่าการกระทำดังกล่าว เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายผลบุญของการประกอบพิธีฮัจญ์เลยทีเดียว

2.1.2 ห้ามมิให้มีการล่วงละเมิดการกระทำที่ล่วงละเมิด หมายรวมถึงการกระทำบาปทั้งหลาย ทั้งที่เป็นข้อห้ามสำหรับผู้ประกอบพิธีฮัจญ์เป็นการเฉพาะเช่น การล่าสัตว์ตัดชีวิต ตัดหรือเด็ดกิ่งไม้ ตัดเล็บ โกนผม การใช้น้ำหอมและอื่นๆ หรือการฝ่าฝืนข้อห้ามสำหรับมุสลิมทั่วไป ทั้งที่เป็นบาปเล็กหรือบาปใหญ่ ชั่วคราวหรือต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการตั้งใจที่จะกระทำบาปในช่วงพิธีฮัจญ์หรือในแผ่นดินหะรอม(มักกะฮฺและมะดีนะฮฺ) อิสลามยังถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ ที่สมควรได้รับโทษอันแสนสาหัสจากอัลลอฮฺเลยทีเดียว มุสลิมจะละเลิกสิ่งอบายมุขดังกล่าว เพียงเพื่อแสดงความเป็นบ่าวผู้จงรักภักดีและแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺเท่านั้น

2.1.3 ห้ามมิให้มีการทะเลาะวิวาทกันการห้ามมิให้มีการทะเลาะวิวาทในที่นี้ ครอบคลุมความหมาย 2 ประการคือ 1) การโต้เถียงในเรื่องหลักการของฮัจญ์ ประวัติความเป็นมาด้านศาสนบัญญัติ ซึ่งถือเป็นความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะเป็นข้อพิพาทโต้แย้งโดยใช่เหตุเลย และ 2) การโต้เถียงช่วงก่อน ระหว่างหรือหลังจากการประกอบพิธีฮัจญ์ ทั้งนี้เนื่องจากฮัจญ์ เป็นที่รวมของผลประโยชน์อันมากมาย ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาของการประกอบพิธีฮัจญ์ที่มีผู้คนจำนวนมากมายทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามา ณ สถานที่และวันเวลาที่จำกัด ซึ่งหากไม่มีการเรียนรู้การลดทิฐิของตนเอง การให้อภัย การให้เกียรติ และการไว้วางใจซึ่งกันและกันฉันพี่น้องกันแล้ว ความขัดแย้งที่อาจบานปลายลุกลามขั้นทะเลาะวิวาทก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การทะเลาะวิวาท ณ ที่นี้คือการใช้วาจาโต้เถียงกัน แม้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกก็ตาม ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์จึงเป็นบุคลิกที่ถูกประดับประดาด้วยคุณลักษณะของการอ่อนน้อมถ่อมตน ใจสำรวม สงวนคำพูด มีสติ รู้จักระงับอารมณ์โกรธและให้อภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ฮัจญ์มับรูรฺ องค์รวมแห่งสาสน์สันติภาพ ตอนที่ ๒


เจตนารมณ์ของอิสลามอันยิ่งใหญ่นี้ จะไม่สามารถเกิดมรรคผลในภาคปฏิบัติได้ เว้นแต่ผู้เข้าร่วมพิธีฮัจญ์ จะประกอบพิธีฮัจญ์มับรูรฺที่ประกอบด้วย1) พื้นฐานหลัก 2 ประการ 2) เงื่อนไข 2 ประการ และ3) วิถีทัศน์ 3 ประการ สรุปได้ดังนี้

(1) พื้นฐานหลัก 2 ประการ ได้แก่1.1 มีจิตใจที่บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น โดยปราศจากการตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า “และพวกเจ้าทั้งหลายจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำฮัจญ์และการทำอุมเราะฮฺเพื่ออัลลอฮฺเถิด” (2/196)1.2 ประกอบพิธีฮัจญ์โดยยึดจริยวัตรของนบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) เป็นต้นแบบ โดยไม่มีการอุตริหรือเพิ่มเติมเสริมแต่งในทุกกระบวนการของการประกอบพิธีฮัจญ์ใดๆ ทั้งสิ้น ตามคำอธิบายและคำชี้แจงของนักวิชาการมุสลิม(อุละมาอฺ)ที่ได้รับการยอมรับ ดังหะดีษกล่าวไว้ความว่า “ท่านทั้งหลาย จงรับต้นแบบการประกอบพิธีฮัจญ์จากฉันด้วยเถิด” (รายงานโดยมุสลิม/1297)

บนพื้นฐานหลักทั้งสองประการนี้ จึงเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการประกอบพิธีฮัจญ์ที่ได้รับการตอบรับจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ซึ่งเป็นการสะท้อนที่มุสลิมทุกคนกล่าวคำปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัด คือศาสนทูตของพระองค์

ฮัจญ์มับรูรฺ องค์รวมแห่งสาสน์สันติภาพ ตอนที่ ๑



อัลลอฮฺตรัสไว้ความว่า “และสิทธิของอัลลอฮฺที่มีแก่มนุษย์นั้น คือการประกอบพิธีฮัจญ์ ณ บัยติลลาฮฺ สำหรับผู้ที่มีความสามารถเดินทางได้” (3/97)ฮัจญ์ เป็นหลักศาสนบัญญัติในอิสลามประการที่ห้า ที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติเพียงครั้งเดียวในชีวิต โดยมีเงื่อนไขอยู่ที่มีความสามารถทั้งสุขภาพร่างกาย ทรัพย์สินเงินทองและความปลอดภัยในการเดินทาง ฮัจญ์จึงเป็นแหล่งรวมประชาคมโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่สามารถรวบรวมประชากรโลกที่ก้าวโพ้นพรมแดนทางเผ่าพันธุ์ ชั้นวรรณะ วัฒนธรรมและประเทศชาติ สู่การหลอมรวมพลโลกให้มีความเป็นเอกภาพทั้งด้านความตั้งใจและวัตถุประสงค์ รูปแบบและวิธีการ สถานที่และแหล่งปฏิบัติ แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์นอกกาย ทุกคนพร้อมใจปฏิบัติอย่างเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยหัวใจที่นอบน้อมและยอมศิโรราบในความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงบริหารจัดการสากลจักรวาลปรากฎการณ์อันน่ามหัศจรรย์ของประชากรโลกนี้ มิเพียงแต่แสดงถึงความเป็นสากลจักรวาลของสาสน์อิสลามเท่านั้น หากยังเป็นภาพสะท้อนของวิถีชีวิตมุสลิมที่มีความผูกพันและตอบรับการเชิญชวนของอัลลอฮฺด้วยหัวใจที่สำรวม อากัปกิริยาที่อ่อนน้อม จรรยามารยาทอันสูงส่งและการมีปฏิสัมพันธ์อันดีทั้งต่อตนเอง สิ่งแวดล้อมรอบข้างและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กล่าวได้ว่า ฮัจญ์คือการปฏิบัติภาคสนามซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ที่มีเจตนารมณ์ในการฝึกอบรมและหล่อหลอมพลโลกให้ซึมซาบองค์รวมสาสน์อิสลาม ที่มุ่งให้มุสลิมเป็นทูตสันถวไมตรีและสันติภาพระดับสากล ผู้ยึดมั่นในศาสนาแห่งความกรุณาปรานีอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามจึงให้ความสำคัญกับฮัจญ์มับรูรฺ อันหมายถึงฮัจญ์ที่รังสรรค์ความดีงาม ที่ไม่ผสมผสานอบายมุขทั้งปวง เป็นการประกอบพิธีฮัจญ์ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ และเป็นที่ยอมรับของพระองค์ ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ทุกคน เพราะศรัทธามั่นต่อคำพูดของ นบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)ที่กล่าวไว้ความว่า “ไม่มีผลตอบแทนใดๆ สำหรับฮัจญ์มับรูรฺ เว้นแต่สรวงสวรรค์เท่านั้น(หะดีษรายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)

السبت، 21 فبراير 2009

สุขภาพจิตกับกอฎออฺ กอดัร
By nafeezah.sp - Posted on ตุลาคม 28th, 2008

เดี่ยวนี้หลายๆ โรงพยาบาลต่างรณรงค์ให้ประชาชนไปพบจิตแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือดาราเมื่อประสบปัญหาก็จะไปพากันปรึกษาจิตแพทย์ เสียค่าใช้จ่ายมากมายเพื่อรักษาสุขภาพจิต หมอก็จะแนะนำว่าให้ฟังเพลง ไปเที่ยวพักผ่อน เพื่อความสนุกสนาน นี่คือตัวอย่างของการลงทุนด้านจิตใจ การอีมานต่อกอฎออฺ กอดัรสามารถช่วยในเรื่องเหล่านี้ได้การอีมานต่อกอฎออฺ กอดัรสามารถรักษาโรคทางจิตใจได้เป็นร้อยโรค สามารถแก้ไขปัญหาทางจริยธรรม มารยาท ถ้ามีความเครียดหรือรู้สึกอิจฉาริษยา ถ้าศึกษากอฎออฺ กอดัรจะไม่มีทางอิจฉาริษยา ถ้ามีปัญหาเรื่องมองคนอื่นแล้วไม่พอใจบางสิ่งบางอย่างในสังคม เช่น คนนั้นมีลูกชาย ฉันไม่มี การอีมานต่อกอฎออฺ กอดัรมีศักยภาพเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะการศึกษากอฎออฺ กอดัรจะทำให้เรามองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยการกำหนดของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา
มุสลิมต้องศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาในพระเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาในความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า และจะยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกำหนดแล้วทั้งสิ้น เราจะสบายใจว่าทุกสิ่งที่ผ่านสายตาของเราในโลกนี้มันเป็นเรื่องของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา อีมานนี้จะทำให้เราเข้มแข็ง เห็นคนรวยกว่าก็เป็นเรื่องของอัลลอฮฺ เห็นคนนั้นมีหรือไม่มีก็เป็นเรื่องของอัลลอฮฺ ถ้าหากเราไม่พอใจ เกิดความรู้สึกอิจฉาริษยา แปลว่าเราประท้วงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ใช่มั้ย? เห็นคนนั้นสวย ...ไม่พอใจ....เริ่มอิจฉากันแล้ว แสดงว่าเราไม่พอใจใช่มั้ยที่อัลลอฮฺได้กำหนด แต่ถ้าเรามีอีมานต่อกอฎออฺกอดัรจะทำให้เราสบายใจ สมมุติว่า ลงทุนไป 3 ล้าน...เจ๊งหมด...เสียใจ...ก็ต้องอัลฮัมดุลิลลาฮฺ เพราะเป็นกำหนดของอัลลอฮฺ มุสลิมไม่มีที่เสียใจ ธุรกิจเจ๊ง แฟนทิ้ง แล้วฆ่าตัวตาย เราไม่มีสิทธิประท้วงหรือคัดค้านสิ่งที่อัลลอฮฺกำหนด มิฉะนั้นแล้วก็ต้องสละสิทธิ์การเป็นมุสลิม สละสิทธิ์การเป็นมุอฺมิน
สำหรับมุสลิมเมื่อประสบปัญหาก็ต้อง...อินนาลิลลาฮิ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน ต้องไม่ตีอกชกตัว เหมือนสมัยญาฮิลียะฮฺ โลกนี้เป็นโลกแห่งการทดสอบว่าใครเป็นผู้ศรัทธา ใครเป็นผู้น้อมรับต่ออัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา การงานของอัลลอฮฺเราประท้วงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของมนุษย์เราสามารถว่าได้ ทำไมคุณเป็นแบบนั้นล่ะ? แบบนี้ล่ะ? บางคนประท้วงเรื่องศาสนา ทำไมอัลลอฮฺกำหนดอะไรยากจังเลย ทีเรื่องกฎธรรมชาติ เช่น แดดออกทางนั้น ทางนี้ เราไม่เคยประท้วงแต่แปลก! เรื่องศาสนาบางคนกลับประท้วง เพราะอะไร? เพราะกิเลส กิเลสเกิดจากอะไร? เพราะไม่ได้เรียนรู้กอฎออฺ กอดัร การที่เราจะศึกษาเรื่องกอฎออฺกอดัรเราจะปรับความเข้าใจหลายประการ การอีมานต่อมะลาอิกะฮฺ การอีมานต่อกิยามะฮฺ ไม่ได้ระบุสรรพคุณ แต่การอีมานต่อกอฎออฺกอดัรนั้นสรรพคุณของมันคือสุขภาพทางจิตใจ
อีมานต่อกำหนดสภาวะของอัลลอฮฺเท่านั้นที่จะสร้างพลังทางด้านจิตใจ ที่จะสร้างความเข้มแข็งทางบุคลิกภาพของผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยภาพรวมการศึกษาต่อกอฎออฺ กอดัรหมายความว่า เรากำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา อีมานนี้จะสร้างความหนักแน่นให้กับเราเอง อะฮฺลุสซุนนะฮฺต้องเชื่ออย่างหนักแน่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่มีอะไรที่ออกนอกกรอบความประสงค์ของพระองค์เลย “ทำไมคนนั้นเป็นแบบนั่นล่ะ?” ...อัลลอฮฺสู้เขาไม่ได้....อันนี้มุรตัดเลย ฮินดูเชื่อว่าโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ พระเจ้าแห่งความมืด พระเจ้าแห่งความสว่าง พระเจ้าแห่งรัศมีหรือความสว่างคือพระเจ้าแห่งความดี พระเจ้าแห่งความมืดคือพระเจ้าแห่งความเลว คนพวกนี้เหมือนเลือกตั้งพระเจ้าเอง พระเจ้ากำหนด 2 อย่างไม่ได้ พระเจ้าต้องทำดีอย่างเดียว ของเลวที่เกิดขึ้นอันนี้ก็ต้องแต่งตั้งพระเจ้ารับผิดชอบ ทำความเลวเหมือนเป็นพระเจ้าตามความต้องการของมนุษย์
อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรอบรู้ทุกอย่างในอดีตและอนาคต มิติแห่งความรู้ของอัลลอฮฺไม่จำกัด และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงกำหนดสภาวะต่างๆ ให้กับสรรพสิ่งต่างๆ ตามองค์ความรู้ของพระองค์ท่าน และตามความเหมาะสมที่พระองค์ทรงกำหนดนี่คือสิ่งพื้นฐานที่เราต้องเชื่อถือ บางคนเชื่อตามบรรพบุรุษ แต่พออัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา บอก นบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมบอก กลับไม่เชื่อ อันนี้แปลก นี่ล่ะคือสิ่งที่บางคนไม่ยอมรับซุนนะฮฺ มันเกิดจากกอฎออฺกอดัรด้วย ถึงบอกว่าที่บางคนอคติทางศาสนา ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะนิสัยแต่มันเกิดจากอคติทางกอฎออฺกอดัรด้วย ถ้าปู่ ย่า ตา ยาย สั่งอะไรไว้ต้องดีหมด ไม่มีอะไรผิด ยกตัวอย่าง บางคนบอกว่าเมาลิดนบีดี แต่จริงๆแล้ว นบีไม่ได้สั่งไม่ได้สอน
การกำหนดของอัลลอฮฺมี 2 ประการ1.การกำหนดทางศาสนา2.การกำหนดทางกอฎออฺ กอดัร (กฎสภาวะ)
ซึ่งขึ้นอยู่กับมนุษย์ มนุษย์เลือกสิ่งที่ดี อัลลอฮฺก็จะกำหนดให้ทำความดี ถ้ามนุษย์เลือกทำความชั่ว อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็จะกำหนดให้ทำความชั่ว เราต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเรา มนุษย์มีประสงค์แต่ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของอัลลอฮฺ ในวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺจะถาม ทำไมเลือกเป็นกาเฟร? จะตอบยังไง คนที่เลือกฮิดายะฮฺ อัลลอฮฺก็จะเพิ่มพูนฮิดายะฮฺให้ ใครทำความดีก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ใครทำความชั่วก็ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่อัลลอฮฺประสงค์จะมีการบันทึกก่อนสร้างโลกดุนยา 50,000 ปี กำหนดไว้แล้วว่า 2 คนนี้จะคู่กัน มะลาอิกะฮฺก็รู้ว่าอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลากำหนดไว้ อัลลอฮฺกำหนดไว้แล้วเพียงแต่เรายังไม่ได้ทำ ต่อเมื่อเราเลือกที่จะทำ อัลลอฮฺก็จะให้ความสามารถ เช่น คนที่เลือกที่จะสูบบุหรี่ ก็ต้องรับผิดชอบผลที่จะเกิดต่อสุขภาพร่างกาย เป็นต้น ยกตัวอย่างความดีกับความชั่วอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกำหนดไว้แล้ว เช่น มัสยิดเป็นความดี ถ้าเลือกไปมัสยิด อัลลอฮฺก็จะกำหนดให้มันเกิดขึ้น คอยอำนวยความสะดวกให้ดังที่อัลลอฮฺบอกว่า
“และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา (ซูเราะฮฺอาละอิมรอน : 132)
แต่ถ้าเลือกไปร้านคาราโอเกะ ทั้งๆ ที่รู้ทางไปมัสยิด อัลลอฮฺก็อนุญาตเพราะเราเลือกเอง
"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงความจริงจากพระเจ้าของพวกท่านได้มายังพวกท่านทั้งหลายแล้ว ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางถูกต้อง แท้จริงเขาดำเนินตามแนวทางถูกต้องเพื่อตัวของเขา และผู้ใดหลงผิด แท้จริงเขาก็หลงผิดบนตัวของเขาและฉันไม่ได้เป็นผู้รับมอบหมายแทนท่าน" (ซูเราะฮฺยู นุส : 108 )
อีมานต่อกอฎอกอดัรนั้นดีแน่นอน อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลากำหนดเรื่องราวศาสนาให้เป็นประโยชน์ให้เป็นทางนำที่ดีเลิศ ถ้าเชื่ออย่างอื่นแสดงว่าไม่ยอมรับหลักการอิสลาม ทำไมเราไม่เอาพระบัญญัติของอัลลอฮฺมาใช้ แต่ที พ.ร.บ.กลับมีอิทธิพลสูง สิ่งต่างๆ ที่อัลลอฮฺกำหนดในโลกนี้ย่อมมีเหตุมีผล มีความยุติธรรม อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงรู้สภาวะของบ่าวของพระองค์ทุกคน ทรงรู้ปัจจัยยังชีพของเราทุกประการ อัลลอฮฺทรงรู้หมด ตายที่ไหน ตายอย่างไร บ่าวของอัลลอฮฺคนหนึ่งคนใดจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺจนกว่าจะอีมานต่อกอฎออฺ กอดัรทั้งดีและเลวมาจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น ถ้าอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลากำหนดไว้แล้วว่ารถจะชนวันนี้ก็ต้องชน บางคนพูดว่า ทำไมนักวิชาการต้องมาบอก อะไรๆ ก็ผิด อะไรๆ ก็หะรอม ทำไมต้องมาบอกให้คนเดือดร้อน อัลลอฮฺกำหนดไว้แล้วทุกอย่าง คนที่ทำซินาก็อย่าไปว่าเค้าซิ...อัลลอฮฺกำหนดไว้แล้ว คนที่ดื่มเหล้าก็อย่าไปว่าเค้า คนที่จะกุฟุร จะมุรตัด จะลาออกจากอิสลามก็อย่าไปตำหนิเค้า มันเป็นเรื่องที่อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลากำหนดไว้แล้ว มีใช่ไหมความเชื่อแบบนี้ ใครจะละหมาดก็ทำไป ใครไม่ทำก็อย่าไปว่า ลัทธิซูฟีย์สอนแบบนี้!! ส่วนอาชาอิเราะฮฺบอกว่า อัลลอฮฺเหมือนใบไม้ที่ลมพัดปลิวไปโดยไม่มีเจตนารมณ์ อันนี้ดอลาละฮฺ(หลงผิด) เพราะสวนทางกับคำพูดของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ว่า
"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่าข้าแต่อัลลอฮผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง!พระองค์นั้นจะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงยังความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ที่พระหัตถ์ ของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง "[ซูเราะฮฺอาละอิมรอน : 26]

الاثنين، 26 يناير 2009


ปรากฎการณ์สุริยคราส

เมื่อเวลา 15.53 น. วันที่ 26 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่ประเทศไทยจะสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบวงแหวนเพียงบางส่วนได้ทุกภูมิภาคในวันนี้ โดยในกรุงเทพฯ ดวงจันทร์จะเริ่มเคลื่อนเข้าสู่สัมผัสที่ 1 ในเวลาประมาณ 15.53 น. และสิ้นสุดเวลาประมาณ 17.58 น. นั้น ปรากฏว่าเริ่มเห็นเงาดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์มุมด้านซ้ายล่างในช่วงหลังเข้าสู่สัมผัสแรก และค่อยๆเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ โดยในช่วงเวลา 16.59 น. ดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บทบังมากที่สุด จากนั้นจะค่อยๆคลายออกจนสิ้นสุดเวลา 17.58 น. ดังกล่าว ทั้งนี้ ปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบวงแหวนเพียงบางส่วนจะเกิดนานที่สุดในจังหวัดนราธิวาส ประมาณ 2 ชั่วโมง 22 นาที อย่างไรก็ตาม หากใครพลาดชมปรากฏการณ์ครั้งนี้จะสามารถชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบเต็มดวงได้อีกครั้ง ในวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552 สำหรับการดูสุริยุปราคาที่ถูกต้อง จักษุแพทย์เตือนว่าจะต้องมองผ่านแผ่นฟิล์มชนิดพิเศษที่ใช้ในการมองดวงอาทิตย์โดยเฉพาะ ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายกล้องทั่วไป หรือร้านขายอุปกรณ์ดาราศาสตร์โดยต้องตรวจดูด้วยว่าสามารถกรองแสงได้ดีหรือไม่ หากไม่มืดสนิท มีรูหรือมีรอยขีดข่วนจนแสงผ่านได้ ไม่ควรนำมาใช้ สำหรับการดูผ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ ฟิล์มขาวดำหรือกระจกรมควัน ถือว่ายังไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ หากจะใช้ควรเพิ่มเป็น 2 ชั้น เพื่อกรองแสงให้มากที่สุด ส่วนอุปกรณ์ที่ไม่ควรนำมาใช้เลยได้แก่ แว่นกันแดด เพราะมีความดำไม่เพียงพอ ขณะที่กล้องส่องทางไกลก็ไม่ควรนำมาใช้เช่นกัน เพราะเป็นการรวมแสงเข้าสู่ตาโดยตรง ซึ่งเป็นอันตรายมาก และหากหลังชมปรากฏการ์สุริยุปราคาแล้วเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ขอให้รีบพบแพทย์โดยด่วน

ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยากจะเกิดขึ้น กำลังจะเริ่มต้น "สุริยุปราคาเต็มดวง" เกิดขึ้นอีกครั้ง ใน วันที่ 26 มกราคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาดีที่ท้องฟ้าเปิด และตรงกับ "วันตรุษจีน" "สุริยุปราคา" ปรากฏการณ์ซึ่งเกิดจากดวงจันทร์ และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับดวงอาทิตย์เรียงตัวกันเป็นเส้นตรง ทำให้มองเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์เต็มดวง หรือเป็นบางส่วน สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ซึ่งหาดูได้ยาก เนื่องจากวงโคจรของดวงจันทร์เอียงทำมุม 5 องศา กับวงของโคจรของโลก โอกาสที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกจะอยู่ในระนาบเดียวกันจึงไม่เกิดขึ้นทุกเดือน ประกอบกับดวงจันทร์มีขนาดเล็กและโลกหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้เงาของดวงจันทร์ทาบไปยังพื้นโลกไม่ซ้ำที่กัน โอกาสที่จะเห็นสุริยุปราคาในประเทศไทยจึงมีไม่มากนัก การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนั้น จะเริ่มต้นด้วยการเกิดสุริยุปราคาบางส่วนก่อน คือ การที่ดวงจันทร์เริ่มต้นโคจรเข้ามาบังดวงอาทิตย์ทีละน้อยๆ ต่อเมื่อดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดดวง จึงจะเป็นสุริยุปราคาเต็มดวง แต่ในบริเวณที่อยู่เหนือขึ้นไปหรือใต้แนวที่ถูกทำให้มืดลงมา ซึ่งจะเห็นเฉพาะสุริยุปราคาบางส่วนก็จะไม่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวง คงจะเห็นแต่สุริยุปราคาบางส่วนไปตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดปรากฏการณ์ เพราะสุริยุปราคาบางส่วนจะมีเฉพาะสัมผัสที่ 1 และ 4 เท่านั้น การสัมผัสของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ในขณะเกิดสุริยุปราคา มี 4 จังหวะด้วยกัน คือ 1. สัมผัสที่ 1 (First Contact) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดวงจันทร์เริ่มเข้าบดบังดวงอาทิตย์ 2. สัมผัสที่ 2 (Second Contact) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้มิดหมดดวง 3. สัมผัสที่ 3 (Third Contact) เป็นจุดสุดท้ายที่ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์มิด 4. สัมผัสที่ 4(FourthContact)เป็นจุดสุดท้ายก่อนที่ดวงจันทร์จะหลุดพ้นออกจากดวงอาทิตย์ ระยะเวลาการเกิดว่าจะกินเวลานานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าขณะเกิดปรากฏการณ์นั้น ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้หรือไกลจากโลกเพียงใด ถ้าดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลกมากขนาดของดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ในขณะที่ขนาดปรากฏของดวงจันทร์ก็โตกว่าขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อย การเกิดสุริยุปราคาก็จะกินเวลาสั้น อาจไม่ถึง 2 นาที แต่ถ้าขณะนั้นดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากโลกมาก ขนาดที่ปรากฏจึงเล็กกว่าปกติ ในขณะเดียวกันดวงจันทร์ก็อยู่ใกล้โลก (ใกล้ที่สุดประมาณ 348,000 กิโลเมตร และไกลที่สุดประมาณ 400,000) ขนาดปรากฏของดวงจันทร์จึงใหญ่กว่าขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์มาก ผลก็คือดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์กินเวลามืดมิดนานที่สุดเท่าที่บันทึกไว้ คือ การเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวน เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2534 ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่ออสเตรเลียตะวันตก, นิวซีแลนด์และมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ซึ่งกินเวลาถึง 7 นาที 55 วินาที แต่ประเทศไทยไม่มีโอกาสได้เห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้ และการคำนวณของนักดาราศาสตร์ การเกิดสุริยุปราคาที่จะกินเวลานานที่สุดซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต คือ ในวันที่ 26 มกราคม ปี พ.ศ.2552 จะเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวน เห็นได้ชัดที่มหาสมุทรแอตแลนติกใต้, มหาสมุทรอินเดีย และประเทศอินโดนีเซียจะกินเวลานานถึง 7 นาที 56 วินาที ซึ่งในประเทศไทยมีโอกาสได้เห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้บางส่วนเท่านั้น ในประเทศไทย การเกิดสุริยุปราคามีขึ้นไม่บ่อยนัก แต่เชื่อกันว่ามีสุริยุปราคาที่เกิดขึ้น และเห็นได้ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน เท่าที่มีการบันทึกไว้พออ้างอิงได้ คือ สุริยุปราคาที่เกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งพระองค์เสด็จทอดพระเนตรร่วมกับบาทหลวงเยซูอิต ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และได้นำความรู้ทางดาราศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่และดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในสมัยนั้น ในครั้งเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2228 เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง เสด็จทอดพระเนตรที่เมืองละโว้ และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2231 ซึ่งเป็นสุริยุปราคาบางส่วน สันนิษฐานว่าเสด็จทอดพระเนตร ณ พระตำหนักเย็น ทะเลชุบศร ทั้ง 2 ครั้ง โดยทอดพระเนตรภาพดวงอาทิตย์บนฉากที่รับภาพจากกล้องโทรทรรศน์ที่บาทหลวงตั้งถวายให้ทอดพระเนตร หลังจากนั้น ประเทศไทยก็ว่างจากข่าวคราวการเกิดสุริยุปราคา จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถทางด้านดาราศาสตร์ โดยทรงศึกษาวิชาการด้านนี้ด้วยพระองค์เองจากตำราโหราศาสตร์ไทยและตำราโหราศาสตร์สากล ที่ทรงสั่งซื้อจากต่างประเทศ ทรงวัดเส้นรุ้งเส้นแวงด้วยพระองค์เองทรงคำนวณว่าจะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง ที่บ้านคลองลึกตำบลหว้ากอ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ ทั้งๆ ที่ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยทรงใช้กล้องโทรทรรศน์ส่วนพระองค์ในการทอดพระเนตร ทำให้พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ และทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งดาราศาสตร์ไทย" และในวันนี้คือวันที่ 18 สิงหาคม ก็ได้รับการกำหนดให้เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ของทุกปี การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนี้ จึงนับว่ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเหตุการณ์หนึ่งทีเดียว การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงอีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2418 กินเวลามืด 4 นาที 42 วินาที เห็นชัดที่แหลมเจ้าลาย จ.เพชรบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2472 เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง กินเวลามืดนาน 6 นาที เห็นได้ชัดที่อำเภอโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และในสมัยรัชกาลปัจจุบันเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง 2 ครั้งด้วยกัน คือ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2498 เห็นได้ชัดที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอีกหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ด้วย กินเวลามืดนาน 6 นาที และครั้งที่ 2 ซึ่งกินเวลาห่างกันถึง 40 ปี คือ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2538 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงซึ่งเห็นได้ชัดในหลายจังหวัดของประเทศไทย นานเกือบ 2 นาที โดยจังหวัดที่เห็นได้ชัดเจนและมากอำเภอที่สุด คือจังหวัดนครสวรรค์ ครั้งต่อไปที่ประเทศไทยจะมีโอกาสได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้อีก คือ ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2613 หรืออีก 75 ปีข้างหน้า โดยเงามืดจะเคลื่อนผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
อย่างไรก็ตาม นายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต นักดาราศาสตร์ไทย กล่าวว่า จากที่จะเกิดปรากฏการณ์ด้านดาราศาสตร์สุริยคราสบางส่วนในประเทศไทยในวันที่ 26 มกราคมนี้ โดยจะเริ่มเห็นได้ทั่วประเทศไทยตั้งแต่เวลาเฉลี่ย 15.50 น. สิ้นสุดเวลา 17.50 น. ซึ่งพื้นที่ภาคใต้จะเห็นส่วนเว้าแหว่งบนดวงอาทิตย์มากที่สุด ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์ไทย กล่าวอีกว่า ที่หอดูดาวบัณฑิต ตลาดบางบ่อ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ได้นำกล้องโทรทัศน์ จำนวน 5 ตัว ติดตั้งแผ่กรองแสงให้ผู้สนใจได้ชมสุริยคราสบางส่วน พร้อมกับเตรียมบันทึกภาพปรากฏการณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นประโยชน์แก่การศึกษา รวมถึงที่โรงเรียนไผแก้ววิทยา อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ได้จัดกิจกรรมนำนักเรียนชมปรากฏการณ์โดยนำกล้องโทรทัศน์ขนาด 9 เศษ 1ส่วน 4 นิ้ว และขนาด 4 นิ้ว รวม 2 ตัว พร้อมแผ่นกรองแสงให้นักเรียนได้ศึกษาสุริยคราสบางส่วนนี้ด้วยเช่นกัน นายวรวิทย์ กล่าวเพิ่มว่า สำหรับการชมปรากฏการณ์สุริยคราสนี้ ห้ามสังเกตุการณ์ด้วยตาเปล่าเด็ดขาด ควรดูผ่านกระจกรมควันหนาๆ แบบโบราณส่องดู และห้ามส่องดูนานๆ เพราะจะมีผลต่อสุขภาพตาได้ ขณะที่ น.พ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นวันที่ 26 มกราคม และ 22 กรกฎาคม ว่า แม้ประเทศไทยจะเห็นเพียงบางส่วนแต่เนื่องจากตรงกับวันตรุษจีนจึงคาดว่าจะมีผู้ให้ความสนใจชมกันมากเป็นพิเศษ ซึ่งต้องระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นด้วย เนื่องจากแสงของดวงอาทิตย์มีความร้อนสูงและมีรังสีอุลตร้าไวโอเลต สามารถทำลายเซลล์ในจอประสาทตาบริเวณจุดรับภาพได้ น.พ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า การดูสุริยุปราคาให้ปลอดภัยต่อดวงตา ควรดูเฉพาะตอนที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่แสงจ้าน้อยที่สุดและใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาที โดยหยุดมองก่อนสิ้นสุดการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเล็กน้อย ไม่ควรดูสุริยุปราคาในขณะที่กำลังคลายออก เนื่องจากดวงตามีโอกาสได้รับคลื่นความร้อนและรังสีอุลตร้าไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้มาก ทำให้จอประสาทตาเสื่อมได้ โดยอาการสำคัญ คือ ตาพร่ามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมองเห็นจุดดำอยู่ตรงกลางภาพ อาจมีอาการสู้แสงไม่ได้ หรือปวดศีรษะบริเวณหว่างคิ้วหรือหลังลูกตา ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดหลังจากจ้องดูสุริยุปราคาไปแล้ว 1 ชั่วโมง และจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน หรืออาจนานถึง 6 เดือน การที่ดวงตาได้รับรังสีอุลตร้าไวโอเลตโดยตรงจะส่งผลเสียในระยะยาว คือ ทำให้จอประสาทตาเสื่อมไวกว่าคนทั่วไป หรืออาจถึงขั้นตาบอดได้ ทั้งนี้ผู้มีปัญหาเรื่องสายตาอยู่แล้ว เช่น โรคต้อกระจก โรคตาแห้ง เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ห้ามดูสุริยุปราคาเด็ดขาด แม้จะใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานก็ตาม เพราะจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากคลื่นความร้อนจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะทำลายที่จอประสาทสำหรับภาพโดยตรง เรียกว่า เรติน่า เบิร์น (Retina burn) ส่งผลให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น วิธีการดูสุริยุปราคาที่ถูกต้อง จะต้องมองผ่านแผ่นฟิล์มชนิดพิเศษ ที่ใช้ในการมองดวงอาทิตย์โดยเฉพาะ ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายกล้องทั่วไป หรือร้านขายอุปกรณ์ดาราศาสตร์โดยต้องตรวจดูด้วยว่าสามารถกรองแสงได้ดีหรือไม่ หากไม่มืดสนิท มีรูหรือมีรอยขีดข่วนจนแสงผ่านได้ ไม่ควรนำมาใช้ สำหรับการดูผ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ ฟิล์มขาวดำหรือกระจกรมควัน ถือว่ายังไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ หากจะใช้ควรเพิ่มเป็น 2 ชั้น เพื่อกรองแสงให้มากที่สุด ส่วนอุปกรณ์ที่ไม่ควรนำมาใช้เลยได้แก่ แว่นกันแดด เพราะมีความดำไม่เพียงพอ ขณะที่กล้องส่องทางไกลก็ไม่ควรนำมาใช้เช่นกัน เพราะเป็นการรวมแสงเข้าสู่ตาโดยตรง ซึ่งเป็นอันตรายมาก และหากหลังชมปรากฏการ์สุริยุปราคาแล้วเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ขอให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
สำหรับระยะช่วงเวลาที่เห็นสุริยคราสบางส่วนในแต่ละพื้นที่ดังนี้ กรุงเทพฯ เริ่มเข้าคราส 15. 53 น. คราสลึกสุด 16.59 น. โดยคราสจะสิ้นสุดเวลา 17.58 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 33.1%, เชียงใหม่ เริ่มเข้าคราส 16.05 น. คราสลึกสุด 17.02 น. คราสสิ้นสุด 17.53 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 18.7 % หนองคาย เริ่มเข้าคราส 16.02 น. คราสลึกสุด 17.02 น. คราสสิ้นสุด 17.56 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 25.3 % อุตรดิตถ์ เริ่มเข้าคราส 16.02 น. คราสลึกสุด 17.01 น. คราสสิ้นสุด 17.55 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 22.8% พิษณุโลก เริ่มเข้าคราส 16.00 น. คราสลึกสุด 17.01 น. คราสสิ้นสุด 17.56 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 24.9% อุดรธานี เริ่มเข้าคราส 16.00 น. คราสลึกสุด 17.02 น. คราสสิ้นสุด 17.56 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 26.6 % นครสวรรค์ เริ่มเข้าคราส 15.57 น. คราสลึกสุด 17.00 น. คราสสิ้นสุด 17.57 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 27.25 % นครราชสีมา เริ่มเข้าคราส 15.55 น. คราสลึกสุด 17.00 น. คราสสิ้นสุด 17.58 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 31.9% อุบลราชธานี เริ่มเข้าคราส 15.56 น. คราสลึกสุด 17.01 น. คราสสิ้นสุด 17.55 น. ดวงอาทิตย์ถูกบัง 34.7% ชลบุรี เริ่มเข้าคราส 15.52 น. คราสลึกสุด 16.59 น. คราสสิ้นสุด 17.59 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 34.6% สุราษฎร์ธานี เริ่มเข้าคราส 15.42 น. คราสลึกสุด 16.56 น. คราสสิ้นสุด 17.59 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 43.6 % ภูเก็ต เริ่มเข้าคราส 15.42 น. คราสลึกสุด 16.56 น. คราสสิ้นสุด 17.59 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 43.6% สงขลา เริ่มเข้าคราส 15.39 น. คราสลึกสุด 16.54 น. คราสสิ้นสุด 18.00 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 50.28 % ปัตตานี เริ่มเข้าคราส 15.38 น. คราสลึกสุด 16.54 น. คราสสิ้นสุด 18.00 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 52.7 % ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา เริ่มเข้าคราส 15.52 น. คราสลึกสุด 16.59 น. คราสสิ้นสุด 17.59 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบังไป 33.94 % ที่หอดูดาวบัณฑิตฉะเชิงเทรา เริ่มเข้าคราส 15.52 น. คราสลึกสุด 16.59 น. คราสสิ้นสุด 17.59 น. ดวงอาทิตย์ ถูกบัง 34.40 %
สุริยุปราคาเต็มดวงหลังเกิดวันที่ 26 มกราคม 2552 จะเกิดอีกครั้งในวันที่ . . . - วันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2552 จะเกิด สุริยุปราคาวงแหวน เห็นได้ชัดที่แถบมหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย กินเวลานาน 7 นาที 56 วินาที - วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2552 จะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง เห็นได้ชัดเจนที่ประเทศอินเดีย, ปากีสถาน, พม่า, จีน และแถบมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ กินเวลา 6 นาที 39 วินาที - วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2553 จะเกิด สุริยุปราคาวงแหวน เห็นได้ชัดที่ทวีปแอฟริกากลาง, มหาสมุทรอินเดีย, ประเทศพม่า และจีน กินเวลานาน 11 นาที 10 วินาที - วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2559 จะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง เห็นชัดที่มหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิกเหนือ กินเวลานาน 4 นาที 09 วินาที - วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2562 จะเกิด สุริยุปราคาวงแหวน เห็นได้ชัดที่ประเทศอินเดีย, มหาสมุทรอินเดียและแถบมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนเหนือ กินเวลานาน 3 นาที 40 วินาที - วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2563 จะเกิด สุริยุปราคาวงแหวน เห็นชัดที่ทวีปแอฟริกากลาง, อินเดีย, จีน และแถบมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ กินเวลานาน 1 นาที 22 วินาที - วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2565 จะเกิด สุริยุปราคาวงแหวน เห็นชัดที่มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ กินเวลานาน 1 นาที 16 วินาที
ส่วนปีที่จะเกิดสุริยุปราคา และเห็นได้ชัดในประเทศไทยจากการคำนวณ คือในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2585 ในอีก 42 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นสุริยุปราคาวงแหวนที่เกิดบริเวณมหาสมุทรอินเดีย,ในประเทศไทย, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยเห็นชัดเจนทางภาคใต้ของประเทศส่วนสุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย จะได้เห็นในอีก 75 ปีข้างหน้า คือ ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2613

الثلاثاء، 13 يناير 2009



ความเร็วแสง (GREATEST SPEED OF C) นัยในอัลกุรอาน
เขียนโดย รศ.นิแวเต๊ะ หะยีวามิง

แสงเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มนุษย์คุ้นเคยมาตลอด นักคิด นักปรัชญา นับตั้งแต่ยุคดึกดำบรรณ สนใจและพยายามจะหาคำตอบให้ได้ว่า แสงคืออะไรกันแน่ นักวิทยาศาสตร์มุสลิม เช่น อิบนู ซีนา, อิบนู ฮัยษัม,อูลัก เบค และท่านอื่นในช่วงปี 900-1300 ได้พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับแสง อิบนู ซีนา เชื่อว่า แสงมีความเร็วจำกัดค่าหนึ่ง อิบนู ฮัยษัม กล่าวว่าการที่ตามองเห็นเพราะมีแสงจากวัตถุเข้าสู่ตา หมายถึงเรามองไม่เห็นแสงแต่แสงทำให้เรามองเห็นวัตถุต่างๆ ซึ่งความคิดเหล่านี้ได้ส่งผ่านมายังนักวิทยาศาสตร์ยุโรป ในสมัย Renaissance หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
นักวิทยาศาสตร์ยุโรปหลายคนในช่วงปี 1600 เป็นต้นมาเช่น กาลิเลโอ โรเมอร์ ฮอยเกน เฟรสเนล เป็นต้น ได้สนใจและพยายามวัดความเร็วของแสง โดยวิธีต่างๆ ปรากฏว่า ความเร็วของแสงที่วัดได้มีค่าสูงมากคือ ประมาณสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที และจะมีค่าคงที่สำหรับตัวกลางที่เป็นสุญญากาศ หากแสง เคลื่อนที่ในตัวกลางอื่นๆความเร็วจะลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการหักเหของแสง
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงมีความเร็วเท่ากับแสง ตามทฤษฏีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกเวล ไอสไตน์ได้อาศัยคุณสมบัติของแสงที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดและสิ่งอื่นๆจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง มาสร้างทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษอันโด่งดัง และทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป (ประมาณปี 1900-1905) ซึ่งเป็นที่สนใจชองนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป แม้แต่วันนี้ทฤษฏีเหล่านี้ ยังถือว่าใหม่อยู่
แสงเกี่ยวข้องกับจักรวาลโดยตรง เพราะจักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ระยะทางระหว่างดวงดาวนั้นวัดกันเป็นปีแสง หมายถึงระยะเวลาที่แสงใช้เวลาในการเดินทาง
แม้ว่าในระยะปี 1400 เป็นต้นมาโลกมุสลิมเกือบจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์เลยก็ตาม แต่หลักการแล้วอิสลามคือศาสนาของมนุษยชาติไม่ว่าจะเป็นยุคไหน สมัยใด กุรอาน ไม่เคยล้าสมัย ความเร็วแสงหรือนูร มีกล่าวเป็นนัยๆอยู่ในกุรอานในกุรอาน ซูเราะฮฺ อัซซัจญะดะฮฺ อายัตที่ 5 และซูเราะฮฺ อัลฮัจย์ อายัตที่ 47 ได้กล่าวถึงตัวเลขบางค่าที่เกี่ยวกับเวลา เป็นการเดินทางของปรากฏการณ์บนฟากฟ้าที่เทียบกับเวลาบนโลก จากอายัต ทั้งสอง นี้เราสามารถวิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ว่าความเร็วในการเดินทางของปรากฏการณ์ที่ในกุรอานกล่าวถึง คือ ความเร็วแสง อายัตทั้งสองมีดังนี้
يُدَبّرُ الأمْرَ مِنَ السّمَآءِ إِلَى الأرْضِ ثُمّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ أَلْفَ سَنَةٍ مّمّا تَعُدّونَ
ความว่า "พระองค์บริหารงานจากฟากฟ้าสู่แผ่นดิน หลังจากนั้นจะขึ้นไปยังพระองค์ภายใน 1 วันซึ่งระยะเวลา ของมันเท่ากับ 1000 ปี จากจำนวนที่พวกเจ้าเคยนับ" 32:5
وَيَسْتَعْجِلُونَكَ بِالْعَذَابِ وَلَن يُخْلِفَ اللَّهُ وَعْدَهُ وَإِنَّ يَوْماً عِندَ رَبِّكَ كَأَلْفِ سَنَةٍ مِّمَّا تَعُدُّونَ
ความว่า "และพวกเขา ที่เร่งต่อเจ้าให้มีการลงโทษ โดยเร็วและอัลลอฮฺจะไม่ผิดสัญญาของ พระองค์ อย่างแน่นอนและแท้จริงวันหนึ่ง ณ องค์อภิบาลของเจ้านั้น เหมือนดังพันปีตามจำนวนที่พวกเจ้านับ" 22:47
การวิเคราะห์ ดวงจันทร์เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด การนับเดือนมีอยู่ 2 ชนิด ดังนี้ 1.โดยดวงจันทร์โคจรรอบโลก และดวงจันทร์เคลื่อนที่สัมพัทธ์กับตำแหน่ง บนโลก ทำให้ดวงจันทร์ที่เราสังเกตเห็นบนโลกเป็นจันทร์เสี้ยว ช่วงเวลาที่เราเห็นดวงจันทร์ครบรอบคือ 29.53 วัน เรียกว่า Synodic month(เดือนทางจันทรคติ)
2.แต่ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกนั้นทั้งโลกและดวงจันทร์ก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วย ดังนั้นตำแหน่งของดวงจันทร์ถ้าเทียบกับดาวก็จะแตกต่างกันด้วย ช่วงเวลาที่ตำแหน่งของดวงจันทร์เปลี่ยนไปครบรอบเมื่อเทียบกับดาว เป็นเวลา 27.32 วัน เรียกว่า Sidereal month ซึ่งเป็นเวลาที่แท้จริงของ การโคจรครบรอบของดวงจันทร์ โดยมีรัศมีการโคจรเกือบเป็นวงกลม r = 84264 กม.
Lunar month and Terrestrial day
Period
Synodic
Sidereal
Lunar Month T
27.321661 วัน หรือ 655.71986 ชม.
29.5309 วัน
Terrestrial Day t
23 ชม. 56 นาที 4.0906 วินาที หรือ 86164.0906 วินาที
24 ชม. หรือ 86400 วินาที
ปรากฏการในฟากฟ้า(Cosmic affair) เดินทางจากฟากฟ้ามายังโลก ใน 1 วัน หรือ 1 วันในอีกมิติหนึ่งวัดได้ 1,000 ปีสำหรับมนุษย์ (12,000 เดือน ) ดังนั้นถ้า ระยะทาง คือ ความเร็วคูณเวลา จะได้ (ความเร็วแสง)X(Sidereal Terrestrial day) = (หนึ่งพันปีของ Lunar Year) X (จำนวนเดือนต่อปี) X (moon orbit length)
เขียนเป็นสมการได้ดังนี้

Ct = 12,000 L

เมื่อ C=ความเร็วของปรากฏการบนฟากฟ้า, t=ระยะเวลา 1 วัน = 86,164.0906 วินาที (sidereal day) และ L=Vcos@T เมื่อ V =average orbital velocity of moon =3,682.07 km/hr @ =angle travelled by earth moon system=26.92848 T =sidereal lunar month = 655.71986 hr จะได้ Ct=12,000Vcos@T

ดังนั้น C =(12,000Vcos@T)/t
C=12,000x3,682.07x0,89157x655.71986/86,164.0906
ได้ C = 299,792.5 km/s ค่า C ที่ได้เป็นค่าเดียวกับความเร็วของแสงหรือความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เคลื่อน ที่ผ่านสุญญากาศแสดงว่าอายัตที่กล่าวมานั้น อัลลอฮฺบอกเป็นนัยถึงค่าคงที่ของจักรวาลค่านี้ ค่าที่ยอมรับปัจจุบันคือ
C=299,792.458 km/s คำว่า "นูร" ซึ่งแปลว่าแสงนั้น มีกล่าวอยู่หลายต่อหลายแห่งในกุรอานและฮาดิษ นูร ในที่นี้อาจจะ มีนัยไปถึงคำว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบัน

อัลลอฮฺ ฮูอักบัร

الثلاثاء، 6 يناير 2009

การทำเด็กหลอดแก้ว

อณุญาติหรือไม่ในการผสมเทียมภายนอกมดลูก..?

ตอบ..โดย ดร.อะฎอ อับดุลอาฎี อัซซันบาฎี อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย อัลฮัซฮัร

ขอชุโก๊รต่อเอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮ์ฯที่พระองค์ได้ทรงสรรค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาในรูปทรงที่สง่างามและภูมิฐานยิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสร้างที่ประเสริฐและมีเกียรติที่สุด โดยมนุษย์ได้รับเกียรติจากการที่พระองค์ได้รับทรงใช้มวลมลาอิกะห์ทำการคารวะต่อท่านบีอาดำ อะลัยฮิสสลาม พระองค์ได้ทรงสอนให้มนุษย์ได้รู้และ เขาใจในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนโดยมนุษย์มีสติปัญญาที่จะพิจารณาและวิเคราะห์บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา เพื่อที่จะได้รู้ถึงอำนาจของผู้สร้างที่แท้จริง

ในโลกปัจจุบันของเรานี้มีสิ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสติปัญญาของมนุษย์ทีได้ใช้ในประดิษฐ์คิดค้นหาวิธีการใหม่ๆขึ้นมา เพื่อที่จะไห้เกิดความสะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ถึงแม้ว่าศาสนาจะส่งเสริมให้มนุษย์ใช่สติปัญญาในการคิดประดิษฐ์ ก็จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงสิ่งที่เป็นข้อห้ามทางบทบัญญัติด้วยในสิ่งที่เขาคิดประดิษฐ์ขึ้นมานั้น เช่นในเรื่องของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นการทำโคลนนิ่ง การผสมเทียมและการทำเด็กหลอดแก้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการดังกล่าวให้สอดคล้องกับบทบัญญัติที่พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮ์ฯ ได้ทรงกำหนดไว้

ดังนั้นสิ่งที่ผมจะกล่าวในที่นี้ก็คือ ฮุกุ่มของการผสมเทียมภายนอกมดลูกหรือที่รู้จักกันในคำว่า (เด็กหลอดแก้ว) ซึ่งวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้นำเอาวิธีการนี้มาใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยที่จะให้ได้มาซึ่งทายาทของเขา

การผสมเทียมมี2ประเภท

1.การผสมเทียมภายในมดลูก

2.การผสมเทียมภายอกมดลูก

การผสมเทียมภายในมดลูก คือการนำเอาเสปิร์มของเพศชายมาผสมกับไข่ของเพศหญิงภายในระบบสืบพันธุ์ขอบเพศหญิง

การผสมเทียมภายอกมดลูก (เด็กหลอดแก้ว) คือการนำเอาเสปิร์ม(อสุจิ)ของ

เพศชายมาผสมกับไข่ของเพศหญิงภายนอกระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงในห้องแล็ป(ห้องทดลอง)

ในการผสมเทียมใน2รูปแบบนี้จะไม่ทำให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตได้ นอกจากว่าจะต้องเอาเสปิร์มที่ผสมกับไข่แล้วนั้นนำกลับฝังไว้ในมดลูกของเพศหญิงเพื่อให้วิวัฒนาการของการเจริญเติบโตจนกระทั่งถึงกำหนดเวลาของการคลอด

สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการผสมเทียมภายนอกมดลูกก็คือความผิดปกติของท่อรังไข่ซึ่งเป็นสาเหตุที่สเปิร์มไม่สามรถเข้าไปผสมกับไข่ได้ โดยที่แพทย์ส่วนใหญ่ได้ยืนยันว่าประมาณ90เปอร์เซ็น เกิดจากการเป็นหมันที่รักษายากของฝ่ายหญิงทำให้ท่อรังไข่เกิดการอุดตันเป็นผลให้ตัวสเปิร์มไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ได้โดยการสืบพันธุ์ทางธรรมชาติหรือบางที่อาจจะเกิดจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านบริเวณปากมดลูกและช่องสังวาสเป็นผลให้สเปิร์มหรือไข่ที่ผสมแล้วนั้น ตายก่อนที่จะไปเกาะที่ผนังมดลูก หรือบางทีอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆอีกมากมายซึ่งแพทย์ได้พยายามใช้วิธีการรักษาแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลจึงต้องอาศัยการผสมเทียมภายนอกมดลูก หรือที่รู้จักกันในคำว่า (เด็กหลอดแก้ว)

การผสมเทียมภายนอกมดลูก(เด็กหลอดแก้ว)มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกันทั้งที่เป็นที่อนุญาตและไม่เป็นที่อนุญาต ดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

รูปแบบที่หนึ่ง การนำเอาไข่ของภรรยามาผสมกับอสุจิของสามี แล้วนำสิ่งที่ผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา เพื่อให้เกิดวิวัฒนาการของการเจริญเติบโต

จากรูปแบบดังกล่าวนี้เมื่อมดลูกและรังไข่ของภรรยามีความสมบูรณ์แต่อาจจะเกิดความผิดปกติบางประการที่ไม่สามารถทำการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติหรือผสมเทียมภายในได้ซึ่งสาเหตุดังกล่าวอาจจะเกิดที่ท่อรังไข่หรือที่ปากมดลูกเกิดการผิดปกติ หรือความผิดปกติของสเปิร์มที่ไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ได้ จึงเป็นผลให้ต้องทำการผสมเทียมภายนอกมดลูกขึ้น

รูปแบบของการทำเด็กหลอดแก้วรูปนี้ เป็นที่อนุญาตตามมติของ

นักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่ใน4 มัซฮับ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้คือ

1.อสุจิของสามีนั้น ถือว่ามีเกียรติ (ถูกต้องตาม หลักการศาสนาทั้งในสภาพที่หลั่งออกมาผสมภายนอกมดลูกหรือนำเข้าไปผสมภายในมดลูก)

2.ไข่ของภรรยานั้น ถือว่าทีเกียรติในสภาพที่ผสมภายในหรือภายนอกมดลูก

3.มดลูกซึ่งที่จะต้องนำเอาไข่ที่ผสมแล้วไปไว้ภายใน คือมดลูกของภรรยา ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติอีกเช่นเดียวกัน

จากวิธีการดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องของอสุจิไข่ และมดลูก ดังกล่าวนี้จึงเป็นการอนุญาตที่จะอาศัยวิธีการรักษาโดยการผสมเทียมให้กับสามีและภรรยาได้เพราะบุตรที่เกิดจากการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ถือว่าเชื้อสายของบุตรนั้นถูกต้องตามบทบัญญัติของศาสนา เพราะอสุจิที่ผสมกับไข่นั้นทำให้เกิดบุตรที่เกิดจากการเกี่ยวพันทางแต่งงาน ดังนั้นฮุกุ่มกล่าวนี้จึงอนุญาต

รูปแบบที่สอง การนำเอาไข่ของหญิงอื่นมาผสมกับอสุจิของสามีแล้วนำสิ่งที่ผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา

จากรูปแบบดังกล่าวนี้คือ ภรรยาไม่มีรังไข่หรือมีรังไข่ แต่เกิดอุปสรรคด้วยการผิดปกติจากการที่จะปล่อยของเหลวออกมาจากไข่ได้ ทั้งๆที่มดลูกของภรรยานั้นสมบูรณ์ อสุจิของสามีก็มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะรับการผสม ดังนั้นภรรยาจึงต้องอาศัยไข่ของหญิงอื่นเพื่อที่จะนำการผสมเทียมกับอสุจิของสามแล้วนำไปฝังในมดลูกของภรรยา เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโต จากวิธีการดังกล่าว นักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่มีความเห็นว่าไม่เป็นที่อนุญาตด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1.ถือว่าอสุจิของสามีนั้นไม่มีเกียรติทั้งในสภาพที่หลั่งออกมาผสมภายนอกหรือนำเข้าไปผสมกับไข่ภายในมดลูกก็ตามและบุตรที่เกิดมานั้น ก็ไม่ใช่บุตรของสามี

2. ถือว่าไข่ของหญิงอื่นนั้นไม่มีเกียรติ และบุตรที่เกิดมานั้น ก็ไม่ไข่บุตรของภรรยา

3.การนำเอาอสุจิของสามีมาผสมกับไข่ของหญิงอื่นถือว่าเป็นการประกอบการซินาซึ่งผิดบทบัญญัติอิสลาม ถึงแม้ว่าภรรยาจะยินยอมก็ตาม

จากรูปแบบดังกล่าวนี้ การหลั่งอสุจิออกมานั้นเจตนาที่จะทำการผสมกับไข่ของหญิงอื่นคือเจตนาที่ทำการซินา จึงถือว่าไม่อนุญาต และบุตรที่เกิดมานั้น ก็มีไช่เชื้อสายของสามีและภรรยาด้วย

รูปแบบที่สาม การนำเอาไข่ของหญิงอื่นมากับอสุจิของชายอื่นแล้วนำเอาสิ่งที่ผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของหญิงอื่น

จากรูปแบบดังกล่าวนี้บุคคลทั้งสามนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันตามบทบัญญัติอิสลาม เพราะอสุจิเป็นของผู้อื่น ไข่เป็นของผู้อื่น และมดลูกก็เป็นของผู้อื่น ดังนั้นจากรูปแบบที่สอง ถึงแม้ว่าจะมีความเกี่ยวพันกันทางด้านการแต่งงานระหว่างสามีซึ่งเป็นเจ้าของน้ำอสุจิและภรรยาซึ่งเป็นเจ้าของมดลูก แต่ก็มีบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นเจ้าของไข่เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นว่า การผสมเทียมรูปแบบที่สามนี้ ไม่มีบุคคลใดที่เกี่ยวพันกันทางด้านแต่งงานเลยจึงเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างชัดเจน โดยอาศัยหลักฐานจากรูปแบบที่สอง

รูปแบบที่สี่ การนำเอาไข่ของภรรยามาผสมกับอสุจิชายอื่น แล้วนำสิ่งที่ผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา

จากรูปแบบดังกล่าวนี้คือรังไข่และมดลูกของภรรยานั้นสมบูรณ์ แต่ไม่อาจที่จะสืบพันธุ์ตามธรรมชาติได้ เนื่องจากสามีหมดสมรรถภาพทางเพศหรือไม่มีน้ำอสุจิ ดังนั้นทั้งสามีและภรรยาจึงต้อง อาศัยน้ำอสุจิของผู้อื่นที่ถูกเก็บไว้ในห้องแล็ปหรือธนาคารที่เก็บรักษาอสุจิ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งนำอสุจิที่สมบูรณ์และแข็งแรง เพื่อที่จะนำมาผสมเทียมกับไข่ของภรรยาแล้วนำกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา จากรูปดังกล่าวนี้ อิสลามถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) เพราะถือว่าเป็นการทำกิจอนาจาร(ซินา)

รูปแบบที่ห้า การนำเอาไข่ของหญิงอื่นมาผสมกับอสุจิของสามี แล้วนำสิ่งที่ผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของหญิงที่เป็นเจ้าของไข่

จากรูปแบบดังกล่าวนี้จึงไม่เป็นที่อนุญาตอย่างชัดเจน เพราะจากรูปแบบที่สองที่ผ่านมา การผสมเทียมโดยใช้ไข่ของหญิงอื่นกับอสุจิของสามีแล้วนำสิ่งที่ผสมได้นั้นกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตจึงเป็นผลให้รูปแบบที่ห้านี้ ก็ไม่เป็นที่อนุญาตอีกเช่นเดียวกัน

รูปแบบที่หก การนำเอาไข่ของภรรยามาผสมกับอสุจิของชายอื่น แล้วนำสิ่งที่ผสมได้นั้นกลับไปฝังในมดลูกของหญิงอื่น

จากรูปแบบดังกล่าวนี้คือสามีเป็นหมันส่วนภรรยานั้นมดลูกไม่สมบูรณ์ซึ่งก็คล้ายคลึงกับรูปแบบที่สี่ ดังนั้นจึงต้องนำเอาไข่ของภรรยามาผสมกับอสุจิของชายอื่น แล้วนำสิ่งที่ผสมได้นั้นกลับไปฝังในมดลูกของหญิงอื่น จึงไม่เป็นที่อนุญาตอีกเช่นเดียวกัน เพราะในรูปแบบที่สี่และรูปที่หก จะเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ว่า รูปแบบที่หกนั้นเอาสิ่งที่ได้จากการผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของหญิงอื่น ส่วนรูปแบบที่สี่นั้น เอาสิ่งที่ได้จากการผสมนั้นกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา จึงเป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม) และส่งผลให้รูปแบบที่หกเป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม)ไปด้วย

รูปแบบที่เจ็ด การนำเอาไข่ของผู้หญิงอื่นมาผสมกับอสุจิของชายอื่นแล้วนำเอาสิ่งที่ผสมได้นั้น กลับไปฝังในมดลูกของภรรยา

รูปแบบนี้เป็นที่ต้องห้ามเช่นเดียวกับรูปแบบที่สาม เพราะบุตรที่เกิดขึ้นมานั้นถือว่าเป็นบุตรบุญธรรมของสามีภรรยา ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องห้าม(ฮะรอม) ตามบทบัญญัติอิสลามเพราะบุตรบุญธรรมเกิดขึ้นมาในสมัยญาฮิลียะห์(ยุคก่อนอิสลาม)เมื่ออิสลามได้มีมา อัลลอฮ์ซุบฮ์ฯ ได้ลงบทบัญญัติยกเลิกเรื่องของบุตรบุญธรรมแล้ว

รูปแบบที่แปด การนำเอาไข่ของภรรยามาผสมกับอสุจิของสามีที่หย่าหรือเสียชีวิตจากภรรยา แล้วนำสิ่งที่ผสมได้นั้นกลับไปฝังในมดลูกของภรรยา

จากรูปแบบดังกล่าวนี้ สามีมีอสุจิที่ถูกเก็บรักษาไว้ในธนาคาร

อสุจิ หรือทั้งสามีและภรรยาที่ไข่และอสุจิที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือมีตัวอ่อนที่แข็งที่ถูกเก็บรักษาไว้ ดังนั้นภรรยาได้ให้แพทย์ดำเนินการผสมเทียมโดยการนำเอาอสุจิของสามีที่ถูกเก็บรักษาไว้มาผสมกับไข่ของนางภายหลังจากหย่าหรือการเสียชีวิตของสามีแล้วนำกลับไปฝังในมดลูกของนาง หรือภรรยาใช้ดำเนินการฝังเซลล์ที่แช่แข็งเก็บไว้ ซึ่งผสมกันระหว่างไข่ของภรรยากับอสุจิของสามีโดยฝังมดลูกของนางเพื่อให้มีวิวัฒนาการเจริญเติบโตจนกระทั่งคลอด

จากเรื่องกล่าวดังนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจาณาสองประเด็นคือ

ประเด็นที่1 การนำเอาไข่ของภรรยามาผสมกับอสุจิของสามีที่ถูกเก็บรักษาไว้หลังจากสามีเสียชีวิตลงหรือหลังจากภรรยาถูกสามีหย่า ดังนั้นนักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นที่อนุญาตเพราะความสัมพันธุ์ระหว่างการเป็นสามีภรรยาได้สิ้นลงด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เสียชีวิตลง เช่นเดียวกันกับกรณีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับทาส ซึ่งสิ้นสุดด้วยการที่ทาสจะเป็นอิสระได้ด้วยการที่เจ้านายเสียชีวิต(สรุปมาจาก หนังสือ "นิฮายะตุลมุฮตาจ์" เล่มที่8หน้า430)

อย่างไรก็ตามถึงแม้การผสมเทียมรูปดังกล่าวนี้จะไม่เป็นที่อนุญาตแต่นักนิติศาสตร์อิสลามในมัซฮับชาฟีอีก็ยืนยันว่าทายาทนั้นเป็นทายาทของเจ้านาย ทั้งๆที่การนำเอาอสุจิของเขามาผสมภายหลังจากนายเสียชีวิตแล้วก็ตามโดยมี2เหตุผลคือ

1.อสุจิที่หลั่งออกมานั้นถือว่ามีเกียรติ ถึงแม้ว่าจะเป็นการหลั่งออกมาผสมภายนอกก็ตาม

2.การที่ไม่มีทายาทอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่เจ้านายมีชีวิตอยู่แต่ทายาทอาจจะเกิดขึ้นหลังจากเขาเสียชีวิตแล้วก็ได้ด้วยกับอสุจิของเขาที่มีอยู่ดังนั้นการมีอสุจิของเขาก็เหมือนกับการมีเขา

ด้วยกับเหตุผลดังกล่าวนี้ นักนิติศาสตร์อิสลามจึงยืนยันว่าทารกที่คลอดมาจากการผสมเทียมระหว่างไข่ของทาสกับอสุจิของเจ้านายเป็นทายาทของเขาหลังจากเขาเสียชีวิตและมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกของเขาด้วย ซึ่งเป็นกรณีเดียวกันกับที่คนอิสระที่เป็นสามีภรรยากันดังนั้นทายาทที่เกิดจากการผสมเทียมดังกล่าวภายหลังจากที่สามีเสียชีวิตจึงเป็นทายาทของทั้งสอง

ประเด็นที่2 เมื่อสามีและภรรยาทีอสุจิผสมกับไข่แล้วหรือมีตัวอ่อนที่แช่แข็งถูกเก็บรักษาไว้ และภรรยาได้นำเอามันมาฝังไว้ในมดลูก เพื่อที่จะให้มีวิวัฒนาการของการเจริญเติบโตจนกระทั่งคลอด

นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่เป็นที่อนุญาต เพราะความ

สัมพันธ์ของการเป็นสามีภรรยาได้สิ้นสุดลงแล้วในขณะที่สามีตาย หรือภรรยาถูกหย่าแต่เมื่อภรรยานำเอาตัวอ่อนไปฝังในมดลูกจนกระทั่งคลอด ทายาทที่เกิดมานั้นถือเป็นบุตรของเขาทั้งสอง และมีสิทธิรับมรดกของทั้งสอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้คือ

1.น้ำอสุจิและไข่ที่ผสมกันนั้นมีผลทำให้เกิดทายาท จะโดยการหลั่งออกมาผสมภายนอกหรือนำเข้าไปผสมกับไข่ภายในก็ตามถือว่ามีเกียรติ ดังนั้นไข่ที่ผสมแล้วจะมีผลทำให้เกิดทารกในสภาพที่ยังมีความสัมพันธ์สามีภรรยาอยู่ และการมีไข่ที่ได้ผสมแล้วก็เหมือนกับการมีสามี

2.ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยานั้น ถึงแม้จะสิ้นสุดลงด้วยกับการเสียชีวิตก็ตามแต่จะยังไม่เป็นการสิ้นสุดลงในทันที เนื่องจากภรรยาที่สามีเสียชีวิตนั้นมีความแตกตางกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาไม่ว่าสภาพใดก็ตาม

นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นสอดคล้องกันว่า อนุญาต ให้ภรรยาอาบน้ำศพให้แก่สามีของนางที่เสียชีวิตได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่อนุญาตสำหรับหญิงอื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรสาวก็ตามเช่นเดียวกันก็อนุญาตให้สามีอาบน้ำศพให้กับภรรยาของเขาได้นอกจากท่านอบูฮานีฟะห์ และรายงานหนึ่งจากอะหมัดที่ไม่อนุญาต

สำหรับหญิงที่ถูกหย่าแบบคืนดีกันได้ในช่วงมีอิดดะห์(ร็อจอี)อนุญาตให้นางทำการอาบน้ำศพให้แก่สามี เพราะการแต่งงานนั้นไม่ได้สิ้นสุดลงด้วยการหย่าแบบร็อจอีเนื่องจากว่าอนุญาตให้แก่ทั้งสองฝ่ายมองสัมผัสหรือหาความสุขต่อกันได้ในขณะที่เสียชีวิตแล้วในการที่จะมองหรือทำการอาบน้ำศพให้แก่กัน

ส่วนการหย่าแบบไม่สามารถกลับมาคืนดีกันได้(บาเอ็น) ไม่อนุญาตให้ภรรยาอาบน้ำศพให้แก่สามีที่เสียชีวิตถึงแม้ว่านางจะอยู่ในช่วงอิดดะห์บาเอ็นก็ตามเพราะการแต่งงานนั้นได้สิ้นสุดลงในขณะที่เขากล่าวคำหย่าครั้งที่3

ส่วนในเรื่องของทายาทที่จะให้มีการดำเนินการผสมเทียมเกิดขึ้นนั้น ภายหลังจากสามีเสียชีวิตแล้ว นักนิติศาสตร์อิสลาม มีความเห็นว่า

1.ไม่อนุญาตให้นำเอาน้ำอสุจิของสามีที่ถูกเก็บรักษาไว้ในธนาคารอสุจิออกมาผสมกับไข่ของภรรยา ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังจากภรรยาหมดอิดดะห์อันเนื่องมาจากสามีเสียชีวิต (4เดือน 10วัน) เพราะสถานภาพของการเป็นสามีภรรยาได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยการเสียชีวิตดังนั้นน้ำอสุจิดังกล่าวจึงถือว่าไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติที่จะนำไปผสมเทียมและฝังในมดลูกอันเนื่องมาจากภรรยามิได้อยู่ในสถานภาพของภรรยาแล้ว(อสุจิที่ออกมาในขณะที่ยังคงสถานภาพสามีภรรยาอยู่ถือว่ามีเกียรติถูกต้องตามหลักการส่วนการที่จะนำเอาอสุจิมาผสมและฝังในมดลูกภายหลังจากการสิ้นสุดสถานภาพของการเป็นสามีภรรยากันแล้ว ถือว่าไม่มีเกียรติ ไม่ถูกต้องตามหลักการ)

2.น้ำอสุจิหรือไข่ที่ผสมแล้วที่ถูกเก็บรักษาไว้ในธนาคารอสุจิ จำเป็นจะต้องนำเอาออกมาจากสถานที่ดังกล่าวภายหลังจากการที่ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาได้สิ้นสุดลงด้วยสาเหตุของการเสียชีวิต การหย่า การแยกทางกันหรือสาเหตุอื่นใดก็ตามเพื่อที่จะให้ชีวิตของเซลล์นั้นได้สิ้นสุดลงตามธรรมชาติของมัน เช่นเดียวกันกับการสิ้นสุดการเป็นสามีภรรยากันซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้จะได้หลุดพ้นจากปัญหาที่มีการขัดแย้งกันอย่างมากมายไม่มีที่สิ้นสุดอีกทั้งเป็นการป้องกันและรักษาสายเลือดให้พ้นจากสื่อต่างๆที่จะนำไปสู่ความชั่ว

หากมีการฝ่าฝืนโดยดำเนินการผสมเทียม บุตรที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นถือเป็นทายาทของสามีที่หย่ากับภรรยา หรือเป็นทายาทของสามีที่เสียชีวิตด้วยเหตุผลที่ว่า เซลล์ของทารกที่เกิดมาจากอสุจิที่ผสมกับไข่แล้ว(เซลล์ที่สมบูรณ์)ในระหว่างที่สามีภรรยายังคงมีสถานภาพการเป็นสามีภรรยากันอยู่ โดยที่ยังไม่ได้ฝังเซลล์นั้นลงในมดลูกของภรรยา ซึ่งเซลล์ดังกล่าวนั้น อาจเกิดการทีปฏิกิริยากันอยู่ โดยที่ยังไม่ได้ฝังเซลล์นั้นลงในมดลูกของภรรยา ซึ่งเซลล์ดังกล่าวนั้น อาจเกิดการมีปฏิกิริยาตัวเกิดขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมเซลล์ที่เกิดการขยายตัวนั้นคือจุดกำเนิดชีวิตของทารก ดังการมีจุดกำเนิดของการมีเซลล์ที่มีชีวิตเป็นทารก ก็เหมือนกับการมีทารกนั้นเอง.

الجمعة، 2 يناير 2009

สุนนะฮฺที่โลกลืม
ถือศีลอดในเดือนมุหัรฺร็อม
ถือศีลอดในเดือนมุหัรฺร็อม โดยเฉพาะการถืดศีลอดในวันอาชูรออ์และวันก่อนและหลังวันอาชูรออ์

1. รายงานจากอุบูฮุร็อยเราะฮฺ ว่า..

سُئِلَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏أَيُّ الصَّلاَةِ أَفْضَلُ بَعْدَ الْمَكْتُوبَةِ قَالَ الصَّلاَةُ فِي جَوْفِ اللَّيْلِ قِيلَ :
أَيُّ الصِّيَامِ أَفْضَلُ بَعْدَ رَمَضَانَ قَالَ شَهْرُ اللهِ الَّذِي تَدْعُونَهُ الْمُحَرَّمَ" ‏

มีคนถามเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ว่า “การละหมาดใดที่ดีที่สุดหลังจากละหมาดฟัรฎู(ทั้ง 5)” ท่านตอบว่า “การละหมาดในตอนดึก” มีคนถามอีกว่า “แล้วการถือศีลอดใดที่ดีที่สุดหลังจากรอมฎอน” ท่านกล่าวว่า “(ถือศีลอดใน)เดือนของอัลลอฮฺ[3]ที่พวกเจ้าเรียกว่า อัล-มุหัรฺร็อม” (บันทึกโดย อะหฺมัด มุสลิม และอะบูดาวูด)

2. รายงานจากมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบูสุฟยาน ได้กล่าว่า “ฉันได้ยินเราะซูลุลลอฮฺกล่าวว่า ..

" إِنَّ هَذَا يَوْمَ عَاشُورَاءَ ، وَلَمْ يَكْتُبْ عَلَيْكُمْ صِيَامُهُ ، وَأَنَا صَائِمٌ ، فَمَنْ شَاءَ صَامَ ، وَمَنْ شَاءَ فَلْيَفْطُر "

“วันนี้เป็นวันอาชูรออ์ และพวกเจ้าไม่ถูกบังคับให้ถือศีลอดในวันนี้ ฉันกำลังถือศีลอดอยู่ ผู้ใดต้องการถือก็ถือ ผู้ใดไม่ต้องการก็ละเสีย”” (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)

3. รายงานจากอะอีชะฮฺ(รอฎิฯ) ท่านได้กล่าวว่า .. “วันอะชูรออ์ เป็นวันที่ชาวกุร็อยชฺถือศีลอดในสมัยญะฮีละยะฮฺ ท่านเราะซูลุลลอฮ(ศ็อลฯ)ก็ถือศีลอดในวันนั้นด้วย เมื่อมาถึงมะดีนะฮฺก็ได้ถือศีลอดและได้ใช้ให้ผู้คนถือศีลอดในวันนี้เช่นกัน ครั้นเมื่อมีบัญญัติให้ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ท่านก็กล่าวว่า..

" َمَنْ شَاءَ صَامَهُ وَمَنْ شَاءَ تَرَكَهُ "

“ผู้ใดต้องการถือศีลอดในวันนี้ก็ถือ ถ้าผู้ใดไม่ต้องการก็ละเสีย” (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)4. รายงานจากอิบนุอับบาส(รอฎิฯ) ว่า..

قَدِمَ رَسُولُ اللّهِ ‏ ‏صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏الْمَدِينَةَ ‏ ‏فَرَأَى ‏ ‏الْيَهُودَ ‏ ‏يَصُومُونَ ‏ ‏يَوْمَ عَاشُورَاءَ ‏ ‏فَقَالَ مَا هَذَا هَذَا يَوْمٌ صَالِحٌ نَجَّى اللهُ ‏مُوسَى وَ ‏بَنِي إِسْرَائِيلَ ‏ ‏مِنْ عَدُوِّهِمْ فَصَامَهُ ‏ ‏مُوسَى ‏ قَالَ رَسُولُ اللهِ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏ أَنَا أَحَقُّ ‏ ‏ بِمُوسَى ‏ ‏مِنْكُمْ فَصَامَهُ ‏وَأَمَرَ بِصَوْمِهِ

“ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้มาถึงมะดีนะฮฺ เห็นชาวยิวถือศีลอดในวันอาชุรออ์ ท่านก็ถามว่า “นี่อะไร?” พวกเขาก็ตอบว่า “วันดี อัลลอฮฺได้ให้ความปลอดภัยแก่มูสาและบะนียฺอิสรออีลจากศัตรูของเขา มูสอก็ถือศีลอดในวันนี้” ท่าน(ศ็อลฯ) กล่าวว่า “ฉันมีสิทธิกับมูสามากกว่าพวกเจ้า” ท่านก็ถือศีลอดในวันนั้น และใช้ให้ผู้คนถือศีลอดด้วย” (บันทึดโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)

5. รายงานจาก อะบูมูซา อัลอัชอารียฺ(รอฎิฯ) ว่า.. “วันนั้นเป็นวันอาชูรออ์ คนยิวเฉลิมฉลองในวันนั้น พวกเขาถือเป็นวันตรุษ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า.." صُومُوهُ أَنْتُمْ " “พวกเจ้าจงถือศีลอด” (บันทึกโดย อัลบุเคาะรีย์และมุสลิม)

6. รายงานจากอิบนุอับบาส (รอฎิฯ) โดยกล่าวว่า..“เมื่อเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ และใช้ให้คนอื่นถือด้วย พวกเขาก็กล่าวแก่เราะซูลุลลอฮฺ “แท้จริงมันเป็นวันที่คนยิวและคนคริสต์เขาเฉลิมฉลองกัน” ท่านก็กล่าวว่า

" إِذَا كَانَ العَامُ المُقْبِلُ - إِنْ شَاءَ الله - صُمْنَا الْيَوْمَ التَاسِعَ "

“ถ้าปีหน้า-อินชาอัลลอฮฺ-พวกเราถือศีลอดในวันที่ 9”อะนัสกล่าวว่า.. ปีหน้ายังมาไม่ถึงกระทั้งเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)เสียชีวิต” (บันทึกโดย มุสลิม)

และในรายงานอื่น ท่านเราะซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า

" لَئِنْ بَقَيْتُ إِلَى قَابِلٍ لَأَصُومَنْ التَاسِعَ "

“ถ้าฉันมีชีวิตถึงปีหน้า แน่นอนฉันจะถือศีลอดในวันที่ 9” ห มายถึงถือศีลอด พร้อมกับวันที่ 10 (วันอาชูรออ์) (บันทึกโดย อะหฺมัดและมุสลิม)

อุลามาอฺได้แบ่งการถือศีลอดเนื่องในวันอะชูรออ์ออกเป็น 3 ระดับ คือ

· ระดับที่หนึ่ง ถือศีลอด 3 วัน คือ วันที่ 9 , 10 และ 11

· ระดับที่สอง ถือศีลอด วันที่ 9 และ 10

· ระดับที่สามถือศีลอดวันอาชูรออฺ(วันที่ 10) เพียงวันเดียว

ความประเสริฐของเดือนมุฮัรรอม

เดือนมุฮัรรอมเป็นเดือนหนึ่งในบรรดาสี่เดือนที่ต้องห้าม(อัลอัชฮุรุลหุรุม) ดังพระกำหนดที่ถูกระบุในซูเราะตุตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 36 ซึ่งมีใจความว่า

إِنَّ عِدَّةَ الشُّهُوْرِ عِنْدَ اللهِ اثْنَا عَشَرَ شَهْرَا فِيْ كِتَابِ اللهِ يَوْمَ خَلَقَ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضَ مِنْهَا أَرْبَعَةٌ حُرُمٌ

ความว่า “แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลลอฮฺนั้นมีสิบสองเดือนในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน จากเดือนเหล่านั้นมีสี่เดือนซึ่งเป็นเดือนที่ต้องห้าม...”

ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อธิบายว่า สี่เดือนที่ต้องห้ามนั้นคือ เดือนซุลกะอฺดะฮฺ ซุลฮิจญะฮฺ มุฮัรรอม และรอญับมุฎ็อร โดยสามเดือนแรกเป็นสามเดือนต่อเนื่องกัน แต่เดือนรอยับที่ถูกแยกมาเป็นเดือนที่ต้องห้ามระหว่างเดือนญุมาดาอัลอาคิเราะฮฺกับเดือนชะอฺบาน เพราะในประวัติศาสตร์ของอาหรับก่อนยุคอิสลาม ชาวเผ่ารอบีอะตุบนุนิซารได้เรียกเดือนรอมฎอนว่าเดือนรอญับ และถือเป็นเดือนต้องห้ามแทนเดือนรอยับของเผ่ามุฎ็อร ซึ่งเดือนรอยับของมุฎ็อรเป็นการกำหนดที่ถูกต้องตามศาสนบัญญัติ จึงทำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เน้นในการกำหนดเดือนต้องห้ามว่าเป็นเดือนรอยับของมุฎ็อร ส่วนเดือนมุฮัรรอมนั้นนอกจากเป็นเดือนต้องห้ามแล้ว ยังมีความประเสริฐอีกหลายประการดังต่อไปนี้
1. การถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอม
เป็นการถือศีลอดที่มีความประเสริฐยิ่ง ซึ่งมีตำแหน่งรองจากเดือนรอมฎอน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

أَفْضَلُ الصِّيَامِ بَعْدَ رَمَضَانَ شَهْرُ اللهِ المُحَرَّمُ

ซึ่งมีใจความว่า “การถือศีลอดที่ประเสริฐยิ่งหลังจากเดือนรอมฎอน คือการถือศีลอดเดือนของอัลลอฮฺที่ต้องห้าม (อัลมุฮัรรอม)”
(บันทึกโดยอิมามมุสลิม อบูดาวู้ด และติรมีซีย์)
ดังนั้น ผู้ใดมีความสามารถที่จะถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอมทุกวัน เกือบทุกวัน หรือบางวัน ก็เป็นการดีในการให้เกียรติเดือนที่ต้องห้ามนี้ หากไม่สามารถถือศีลอดหลายวัน ก็ให้ปฏิบัติความประเสริฐประการต่อไป
2. การถือศีลอดวันที่ 10 มุฮัรรอม
ที่เราเรียกกันว่า อาชูรออฺ ซึ่งเป็นวันที่มีเกียรติในศาสนาอื่นด้วย เช่น ศาสนายิว เพราะเป็นวันที่ท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ได้รับความปลอดภัยจากฟิรเอานฺ จึงเป็นวันแห่งการขอบคุณของบนีอิสรออีล และเป็นที่รู้กันดีว่าท่านนบีมูซาได้ถือศีลอดในวันนี้ เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และท่านได้ทราบว่าชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺกำลังถือศีลในวันนั้น ท่านนบีจึงประกาศให้เป็นวันถือศีลอดของชาวมุสลิมด้วย โดยกล่าวว่า
أَنَا أَحَقُّ بِمُوْسَى مِنْكُمْ فَصَامَهُ وَأَمَرَ بِصِيَامِهِ

“ฉันมีข้อเกี่ยวพันกับมูซามากกว่าพวกท่าน (โอ้ชาวยิว)”
ท่านนบีจึงถือศีลอดวันนั้นและใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดด้วย”
(บันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม)

บรรดานักปราชญ์อิสลามชี้แจงว่า ในช่วงแรกการถือศีลอดวันอาชูรออฺ(สิบมุฮัรรอม)เป็นวาญิบ(จำเป็นต้องปฏิบัติ) เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการใช้ให้ถือศีลอดเดือนรอมฎอน จึงถือเป็นการถือศีลอดฟัรฎูของมุสลิม แต่หลังจากที่มีบทบัญญัติใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดเดือนรอมฎอนเป็นฟัรฎูแล้ว ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่ได้บังคับให้ถือศีลอดในวันนี้ แต่ยืนยันในความประเสริฐด้วยถ้อยคำอันชัดเจน เช่น

سُئِلَ عَنْ صَوْمِ يَوْمِ عَاشُوْرَاءَ فَقَالَ يُكَفِّرُ السَّنَةَ المَاضِيَةَ

ท่านนบีถูกถามถึงการถือศีลอดในวันอาชูรออฺ ท่านตอบว่า “ลบล้างความผิดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา” (บันทึกโดยมุสลิม)

ดังนั้น บรรดาอุละมาอฺจึงมีความเห็นตรงกันถึงความประเสริฐของการถือศีลอดในวันอาชูรออฺ แต่อุละมาอฺส่วนมากมีความเห็นชอบให้ถือศีลอดวันตาซูอาอฺไปด้วย คือวันที่ 9 ของเดือนมุฮัรรอม ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

لَئِنْ بَقِيْتُ إِلَى قَابِلٍ َلأَصُوْمَنَّ التَّاسِعَ وَالعَاشِرَ

“หากฉันมีชีวิตถึงปีหน้า แน่นอน ฉันจะถือศีลอดวันที่เก้าและวันที่สิบ”
(บันทึกโดยอิมามอะหมัด)

และอุละมาอฺบางท่านมีความเห็นชอบให้ถือศีลอดวันที่ 11 รวมไปด้วย เพราะมีหะดีษบทหนึ่งบ่งชี้ถึงการถือศีลอดวันก่อนอาชูรออฺและวันหลังอาชูรออฺ แต่เนื่องจากหะดีษนี้มีสายสืบอ่อนมาก(ฎออีฟญิดดัน) จึงไม่ควรนำมาใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจ

3. การทำอิบาดะฮฺ ทำความดี และละเว้นความชั่วทุกชนิด
เดือนมุฮัรรอมถือเป็นวาระสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำชับบรรดาผู้ศรัทธาไม่ให้อธรรมตัวเองในเดือนที่ต้องห้าม หมายถึง ไม่ให้ละเมิดกรอบสิ่งที่ต้องห้าม และไม่ให้ละเว้นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ

สำหรับเดือนมุฮัรรอมมีความประเสริฐบางประการที่บางกลุ่มบางลัทธิเชื่อถือกัน แต่หาได้มีหลักฐานรับรองในความประเสริฐนั้นไม่ เช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้

Ø ความเชื่อว่าวันที่ 10 มุฮัรรอมเป็นวันที่ท่านนบีนูหฺได้รับความปลอดภัยจากน้ำท่วมด้วยเรือลำใหญ่ที่อัลลอฮฺทรงสอนให้ท่านนบีนูหฺสร้างเพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ศรัทธา ซึ่งหะดีษที่กล่าวถึงเรื่องนี้อยู่ในระดับที่เชื่อถือมิได้ ดังนั้น ทางความศรัทธาไม่อนุญาตให้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนรองรับ

Ø ความเชื่อว่าวันที่ 10 มุฮัรรอมนั้นให้ทำขนมหรือแจกขนมชนิดหนึ่งชนิดใด โดยเชื่อว่าการทำขนมเฉพาะให้วันที่สิบมุฮัรรอมนั้นมีความประเสริฐเป็นพิเศษ ซึ่งความเชื่อเช่นนี้มีความคลาดเคลื่อนและผิดหลักการใน 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ เป็นการกระทำที่ไม่มีหลักฐานรองรับ และการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดถ้าเราเชื่อว่ามีผลบุญ (เช่นเชื่อว่าทำขนมในวันอาชูรออฺมีผลบุญเป็นพิเศษ) ถ้าไม่มีหลักฐานในการกระทำนั้นๆ ก็จะถือว่าเป็นบิดอะฮฺที่ต้องละทิ้ง
ประเด็นที่สอง คือ เป็นพฤติกรรมที่ถูกริเริ่มด้วยกลุ่มอันนะวาศิบ คือกลุ่มที่เกลียดชังท่านอะลี อิบนุอบีฏอลิบ และอะหฺลุลบัยตฺ(ครอบครัวและลูกหลานของท่านนบี) กลุ่มนี้ได้แสดงความดีใจในการเข่นฆ่าท่านอัลหะซัยนฺ อิบนุอะลี (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา) ในวันที่ 10 มุฮัรรอม จึงทำขนมและแจกเพื่อแสดงความยินดีในเหตุการณ์นั้น และกลุ่มนะวาศิบนี้ก็จะเป็นกลุ่มตรงข้ามกับกลุ่มชีอะฮฺร่อวาฟิฎ กล่าวคือ กลุ่มชีอะฮฺร่อวาฟิฎจะรักอะหฺลุลบัยตฺอย่างเลยเถิด แต่กลุ่มนะวาศิบจะเกลียดอะหฺลุลบัยตฺโดยไม่มีเหตุผล และระหว่างสองกลุ่มก็จะมีอะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่รักใคร่อะหฺลุลบัยตฺตามขอบเขตของอิสลามและด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง

Ø ความเชื่อของกลุ่มชีอะฮฺร่อวาฟิฎว่าต้องไว้ทุกข์ในวันที่ 10 มุฮัรรอม เพื่อแสดงความเสียใจในการเสียชีวิตของอัลหุซัยนฺ อิบนุอะลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์กลุ่มชีอะฮฺได้พัฒนาพฤติกรรมนี้จนกระทั่งเป็นเทศกาลและเอกลักษณ์ของชีอะฮฺโดยเฉพาะ โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆในวันไว้ทุกข์นี้ แต่สิ่งที่น่าอัปยศอย่างยิ่งและเป็นการทำลายหลักการอัลอิสลาม คือการทำร้ายร่างกายตัวเองในวันที่ 10 มุฮัรรอม ตามถนนและสถานที่สาธารณะ ซึ่งกลุ่มชีอะฮฺจะถือว่าเป็นการแสดงพลังของพวกเขา และจะออกมาชุมนุมตามสถานที่สาธารณะต่างๆ และจะมีการตบหน้าตบอก หรือใช้อาวุธต่างๆในการทำร้ายตัวเองจนเลือดไหล เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของพวกเขา คือรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท่านอัลหุซัยนฺ อิบนุอะลี ได้ประสบ พฤติกรรมดังกล่าวกลุ่มชีอะฮฺจะปฏิบัติกันทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทย ถึงแม้ว่ามีนักปราชญ์ของกลุ่มเขาได้ประกาศว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอุตริกรรมที่ไม่อนุญาตให้กระทำโดยเด็ดขาด แต่ชีอะฮฺโดยทั่วไปยังยืนหยัดในการแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ โดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของชาวมุสลิม ดังนั้นอะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺต้องประกาศความไม่เห็นด้วยกับลัทธิชีอะฮฺ รวมถึงประกาศประณามพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อให้สังคมรับรู้ว่าผู้มีพฤติกรรมนั้นไม่ใช่มุสลิมที่แท้จริง
تفسير سورة النحل أية (3) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=75&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (4) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=79&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (5) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=80&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (6) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=82&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (7) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=83&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (8) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=86&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (9) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=87&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (10) للدكتور اسماعيل لطف http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=88&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (11) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=90&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (13) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=91&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (16) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=104&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (17) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=105&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (18 ) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=38&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (21 ) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=133&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (23 ) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=138&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (22 ) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=134&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (19) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=136&Itemid=26
تفسير سورة النحل أية (20 ) للدكتور اسماعيل لطفي http://intan.sci-yiu.net/index.php?option=com_content&task=view&id=137&Itemid=26
อิสลามกับสิ่งเสพติด http://www.ridwanclub.com/subindex.php?page=content&id=402
อัลกุรอ่านกับการกำเนิดจักรวาล http://www.ridwanclub.com/subindex.php?page=content&id=288
มหัศจรรย์กระดูกก้นกบ(Coccyx)
http://www.ridwanclub.com/subindex.php?page=content&id=104
كلمة إلى الشباب للراغب السرجاني http://audio.islamweb.net/audio/listenbox.php?audioid=131075&type=wma

الخميس، 1 يناير 2009