สุนนะฮฺที่โลกลืม
ถือศีลอดในเดือนมุหัรฺร็อม
ถือศีลอดในเดือนมุหัรฺร็อม โดยเฉพาะการถืดศีลอดในวันอาชูรออ์และวันก่อนและหลังวันอาชูรออ์
1. รายงานจากอุบูฮุร็อยเราะฮฺ ว่า..
سُئِلَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَيُّ الصَّلاَةِ أَفْضَلُ بَعْدَ الْمَكْتُوبَةِ قَالَ الصَّلاَةُ فِي جَوْفِ اللَّيْلِ قِيلَ :
أَيُّ الصِّيَامِ أَفْضَلُ بَعْدَ رَمَضَانَ قَالَ شَهْرُ اللهِ الَّذِي تَدْعُونَهُ الْمُحَرَّمَ"
มีคนถามเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ว่า “การละหมาดใดที่ดีที่สุดหลังจากละหมาดฟัรฎู(ทั้ง 5)” ท่านตอบว่า “การละหมาดในตอนดึก” มีคนถามอีกว่า “แล้วการถือศีลอดใดที่ดีที่สุดหลังจากรอมฎอน” ท่านกล่าวว่า “(ถือศีลอดใน)เดือนของอัลลอฮฺ[3]ที่พวกเจ้าเรียกว่า อัล-มุหัรฺร็อม” (บันทึกโดย อะหฺมัด มุสลิม และอะบูดาวูด)
2. รายงานจากมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบูสุฟยาน ได้กล่าว่า “ฉันได้ยินเราะซูลุลลอฮฺกล่าวว่า ..
" إِنَّ هَذَا يَوْمَ عَاشُورَاءَ ، وَلَمْ يَكْتُبْ عَلَيْكُمْ صِيَامُهُ ، وَأَنَا صَائِمٌ ، فَمَنْ شَاءَ صَامَ ، وَمَنْ شَاءَ فَلْيَفْطُر "
“วันนี้เป็นวันอาชูรออ์ และพวกเจ้าไม่ถูกบังคับให้ถือศีลอดในวันนี้ ฉันกำลังถือศีลอดอยู่ ผู้ใดต้องการถือก็ถือ ผู้ใดไม่ต้องการก็ละเสีย”” (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)
3. รายงานจากอะอีชะฮฺ(รอฎิฯ) ท่านได้กล่าวว่า .. “วันอะชูรออ์ เป็นวันที่ชาวกุร็อยชฺถือศีลอดในสมัยญะฮีละยะฮฺ ท่านเราะซูลุลลอฮ(ศ็อลฯ)ก็ถือศีลอดในวันนั้นด้วย เมื่อมาถึงมะดีนะฮฺก็ได้ถือศีลอดและได้ใช้ให้ผู้คนถือศีลอดในวันนี้เช่นกัน ครั้นเมื่อมีบัญญัติให้ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ท่านก็กล่าวว่า..
" َمَنْ شَاءَ صَامَهُ وَمَنْ شَاءَ تَرَكَهُ "
“ผู้ใดต้องการถือศีลอดในวันนี้ก็ถือ ถ้าผู้ใดไม่ต้องการก็ละเสีย” (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)4. รายงานจากอิบนุอับบาส(รอฎิฯ) ว่า..
قَدِمَ رَسُولُ اللّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْمَدِينَةَ فَرَأَى الْيَهُودَ يَصُومُونَ يَوْمَ عَاشُورَاءَ فَقَالَ مَا هَذَا هَذَا يَوْمٌ صَالِحٌ نَجَّى اللهُ مُوسَى وَ بَنِي إِسْرَائِيلَ مِنْ عَدُوِّهِمْ فَصَامَهُ مُوسَى قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَا أَحَقُّ بِمُوسَى مِنْكُمْ فَصَامَهُ وَأَمَرَ بِصَوْمِهِ
“ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้มาถึงมะดีนะฮฺ เห็นชาวยิวถือศีลอดในวันอาชุรออ์ ท่านก็ถามว่า “นี่อะไร?” พวกเขาก็ตอบว่า “วันดี อัลลอฮฺได้ให้ความปลอดภัยแก่มูสาและบะนียฺอิสรออีลจากศัตรูของเขา มูสอก็ถือศีลอดในวันนี้” ท่าน(ศ็อลฯ) กล่าวว่า “ฉันมีสิทธิกับมูสามากกว่าพวกเจ้า” ท่านก็ถือศีลอดในวันนั้น และใช้ให้ผู้คนถือศีลอดด้วย” (บันทึดโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)
5. รายงานจาก อะบูมูซา อัลอัชอารียฺ(รอฎิฯ) ว่า.. “วันนั้นเป็นวันอาชูรออ์ คนยิวเฉลิมฉลองในวันนั้น พวกเขาถือเป็นวันตรุษ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า.." صُومُوهُ أَنْتُمْ " “พวกเจ้าจงถือศีลอด” (บันทึกโดย อัลบุเคาะรีย์และมุสลิม)
6. รายงานจากอิบนุอับบาส (รอฎิฯ) โดยกล่าวว่า..“เมื่อเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ และใช้ให้คนอื่นถือด้วย พวกเขาก็กล่าวแก่เราะซูลุลลอฮฺ “แท้จริงมันเป็นวันที่คนยิวและคนคริสต์เขาเฉลิมฉลองกัน” ท่านก็กล่าวว่า
" إِذَا كَانَ العَامُ المُقْبِلُ - إِنْ شَاءَ الله - صُمْنَا الْيَوْمَ التَاسِعَ "
“ถ้าปีหน้า-อินชาอัลลอฮฺ-พวกเราถือศีลอดในวันที่ 9”อะนัสกล่าวว่า.. ปีหน้ายังมาไม่ถึงกระทั้งเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)เสียชีวิต” (บันทึกโดย มุสลิม)
และในรายงานอื่น ท่านเราะซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า
" لَئِنْ بَقَيْتُ إِلَى قَابِلٍ لَأَصُومَنْ التَاسِعَ "
“ถ้าฉันมีชีวิตถึงปีหน้า แน่นอนฉันจะถือศีลอดในวันที่ 9” ห มายถึงถือศีลอด พร้อมกับวันที่ 10 (วันอาชูรออ์) (บันทึกโดย อะหฺมัดและมุสลิม)
อุลามาอฺได้แบ่งการถือศีลอดเนื่องในวันอะชูรออ์ออกเป็น 3 ระดับ คือ
· ระดับที่หนึ่ง ถือศีลอด 3 วัน คือ วันที่ 9 , 10 และ 11
· ระดับที่สอง ถือศีลอด วันที่ 9 และ 10
· ระดับที่สามถือศีลอดวันอาชูรออฺ(วันที่ 10) เพียงวันเดียว
ความประเสริฐของเดือนมุฮัรรอม
เดือนมุฮัรรอมเป็นเดือนหนึ่งในบรรดาสี่เดือนที่ต้องห้าม(อัลอัชฮุรุลหุรุม) ดังพระกำหนดที่ถูกระบุในซูเราะตุตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 36 ซึ่งมีใจความว่า
إِنَّ عِدَّةَ الشُّهُوْرِ عِنْدَ اللهِ اثْنَا عَشَرَ شَهْرَا فِيْ كِتَابِ اللهِ يَوْمَ خَلَقَ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضَ مِنْهَا أَرْبَعَةٌ حُرُمٌ
ความว่า “แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลลอฮฺนั้นมีสิบสองเดือนในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน จากเดือนเหล่านั้นมีสี่เดือนซึ่งเป็นเดือนที่ต้องห้าม...”
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อธิบายว่า สี่เดือนที่ต้องห้ามนั้นคือ เดือนซุลกะอฺดะฮฺ ซุลฮิจญะฮฺ มุฮัรรอม และรอญับมุฎ็อร โดยสามเดือนแรกเป็นสามเดือนต่อเนื่องกัน แต่เดือนรอยับที่ถูกแยกมาเป็นเดือนที่ต้องห้ามระหว่างเดือนญุมาดาอัลอาคิเราะฮฺกับเดือนชะอฺบาน เพราะในประวัติศาสตร์ของอาหรับก่อนยุคอิสลาม ชาวเผ่ารอบีอะตุบนุนิซารได้เรียกเดือนรอมฎอนว่าเดือนรอญับ และถือเป็นเดือนต้องห้ามแทนเดือนรอยับของเผ่ามุฎ็อร ซึ่งเดือนรอยับของมุฎ็อรเป็นการกำหนดที่ถูกต้องตามศาสนบัญญัติ จึงทำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เน้นในการกำหนดเดือนต้องห้ามว่าเป็นเดือนรอยับของมุฎ็อร ส่วนเดือนมุฮัรรอมนั้นนอกจากเป็นเดือนต้องห้ามแล้ว ยังมีความประเสริฐอีกหลายประการดังต่อไปนี้
1. การถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอม
เป็นการถือศีลอดที่มีความประเสริฐยิ่ง ซึ่งมีตำแหน่งรองจากเดือนรอมฎอน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
أَفْضَلُ الصِّيَامِ بَعْدَ رَمَضَانَ شَهْرُ اللهِ المُحَرَّمُ
ซึ่งมีใจความว่า “การถือศีลอดที่ประเสริฐยิ่งหลังจากเดือนรอมฎอน คือการถือศีลอดเดือนของอัลลอฮฺที่ต้องห้าม (อัลมุฮัรรอม)”
(บันทึกโดยอิมามมุสลิม อบูดาวู้ด และติรมีซีย์)
ดังนั้น ผู้ใดมีความสามารถที่จะถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอมทุกวัน เกือบทุกวัน หรือบางวัน ก็เป็นการดีในการให้เกียรติเดือนที่ต้องห้ามนี้ หากไม่สามารถถือศีลอดหลายวัน ก็ให้ปฏิบัติความประเสริฐประการต่อไป
2. การถือศีลอดวันที่ 10 มุฮัรรอม
ที่เราเรียกกันว่า อาชูรออฺ ซึ่งเป็นวันที่มีเกียรติในศาสนาอื่นด้วย เช่น ศาสนายิว เพราะเป็นวันที่ท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ได้รับความปลอดภัยจากฟิรเอานฺ จึงเป็นวันแห่งการขอบคุณของบนีอิสรออีล และเป็นที่รู้กันดีว่าท่านนบีมูซาได้ถือศีลอดในวันนี้ เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และท่านได้ทราบว่าชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺกำลังถือศีลในวันนั้น ท่านนบีจึงประกาศให้เป็นวันถือศีลอดของชาวมุสลิมด้วย โดยกล่าวว่า
أَنَا أَحَقُّ بِمُوْسَى مِنْكُمْ فَصَامَهُ وَأَمَرَ بِصِيَامِهِ
“ฉันมีข้อเกี่ยวพันกับมูซามากกว่าพวกท่าน (โอ้ชาวยิว)”
ท่านนบีจึงถือศีลอดวันนั้นและใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดด้วย”
(บันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม)
บรรดานักปราชญ์อิสลามชี้แจงว่า ในช่วงแรกการถือศีลอดวันอาชูรออฺ(สิบมุฮัรรอม)เป็นวาญิบ(จำเป็นต้องปฏิบัติ) เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการใช้ให้ถือศีลอดเดือนรอมฎอน จึงถือเป็นการถือศีลอดฟัรฎูของมุสลิม แต่หลังจากที่มีบทบัญญัติใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดเดือนรอมฎอนเป็นฟัรฎูแล้ว ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่ได้บังคับให้ถือศีลอดในวันนี้ แต่ยืนยันในความประเสริฐด้วยถ้อยคำอันชัดเจน เช่น
سُئِلَ عَنْ صَوْمِ يَوْمِ عَاشُوْرَاءَ فَقَالَ يُكَفِّرُ السَّنَةَ المَاضِيَةَ
ท่านนบีถูกถามถึงการถือศีลอดในวันอาชูรออฺ ท่านตอบว่า “ลบล้างความผิดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา” (บันทึกโดยมุสลิม)
ดังนั้น บรรดาอุละมาอฺจึงมีความเห็นตรงกันถึงความประเสริฐของการถือศีลอดในวันอาชูรออฺ แต่อุละมาอฺส่วนมากมีความเห็นชอบให้ถือศีลอดวันตาซูอาอฺไปด้วย คือวันที่ 9 ของเดือนมุฮัรรอม ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
لَئِنْ بَقِيْتُ إِلَى قَابِلٍ َلأَصُوْمَنَّ التَّاسِعَ وَالعَاشِرَ
“หากฉันมีชีวิตถึงปีหน้า แน่นอน ฉันจะถือศีลอดวันที่เก้าและวันที่สิบ”
(บันทึกโดยอิมามอะหมัด)
และอุละมาอฺบางท่านมีความเห็นชอบให้ถือศีลอดวันที่ 11 รวมไปด้วย เพราะมีหะดีษบทหนึ่งบ่งชี้ถึงการถือศีลอดวันก่อนอาชูรออฺและวันหลังอาชูรออฺ แต่เนื่องจากหะดีษนี้มีสายสืบอ่อนมาก(ฎออีฟญิดดัน) จึงไม่ควรนำมาใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจ
3. การทำอิบาดะฮฺ ทำความดี และละเว้นความชั่วทุกชนิด
เดือนมุฮัรรอมถือเป็นวาระสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำชับบรรดาผู้ศรัทธาไม่ให้อธรรมตัวเองในเดือนที่ต้องห้าม หมายถึง ไม่ให้ละเมิดกรอบสิ่งที่ต้องห้าม และไม่ให้ละเว้นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ
สำหรับเดือนมุฮัรรอมมีความประเสริฐบางประการที่บางกลุ่มบางลัทธิเชื่อถือกัน แต่หาได้มีหลักฐานรับรองในความประเสริฐนั้นไม่ เช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้
Ø ความเชื่อว่าวันที่ 10 มุฮัรรอมเป็นวันที่ท่านนบีนูหฺได้รับความปลอดภัยจากน้ำท่วมด้วยเรือลำใหญ่ที่อัลลอฮฺทรงสอนให้ท่านนบีนูหฺสร้างเพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ศรัทธา ซึ่งหะดีษที่กล่าวถึงเรื่องนี้อยู่ในระดับที่เชื่อถือมิได้ ดังนั้น ทางความศรัทธาไม่อนุญาตให้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนรองรับ
Ø ความเชื่อว่าวันที่ 10 มุฮัรรอมนั้นให้ทำขนมหรือแจกขนมชนิดหนึ่งชนิดใด โดยเชื่อว่าการทำขนมเฉพาะให้วันที่สิบมุฮัรรอมนั้นมีความประเสริฐเป็นพิเศษ ซึ่งความเชื่อเช่นนี้มีความคลาดเคลื่อนและผิดหลักการใน 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ เป็นการกระทำที่ไม่มีหลักฐานรองรับ และการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดถ้าเราเชื่อว่ามีผลบุญ (เช่นเชื่อว่าทำขนมในวันอาชูรออฺมีผลบุญเป็นพิเศษ) ถ้าไม่มีหลักฐานในการกระทำนั้นๆ ก็จะถือว่าเป็นบิดอะฮฺที่ต้องละทิ้ง
ประเด็นที่สอง คือ เป็นพฤติกรรมที่ถูกริเริ่มด้วยกลุ่มอันนะวาศิบ คือกลุ่มที่เกลียดชังท่านอะลี อิบนุอบีฏอลิบ และอะหฺลุลบัยตฺ(ครอบครัวและลูกหลานของท่านนบี) กลุ่มนี้ได้แสดงความดีใจในการเข่นฆ่าท่านอัลหะซัยนฺ อิบนุอะลี (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา) ในวันที่ 10 มุฮัรรอม จึงทำขนมและแจกเพื่อแสดงความยินดีในเหตุการณ์นั้น และกลุ่มนะวาศิบนี้ก็จะเป็นกลุ่มตรงข้ามกับกลุ่มชีอะฮฺร่อวาฟิฎ กล่าวคือ กลุ่มชีอะฮฺร่อวาฟิฎจะรักอะหฺลุลบัยตฺอย่างเลยเถิด แต่กลุ่มนะวาศิบจะเกลียดอะหฺลุลบัยตฺโดยไม่มีเหตุผล และระหว่างสองกลุ่มก็จะมีอะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่รักใคร่อะหฺลุลบัยตฺตามขอบเขตของอิสลามและด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
Ø ความเชื่อของกลุ่มชีอะฮฺร่อวาฟิฎว่าต้องไว้ทุกข์ในวันที่ 10 มุฮัรรอม เพื่อแสดงความเสียใจในการเสียชีวิตของอัลหุซัยนฺ อิบนุอะลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์กลุ่มชีอะฮฺได้พัฒนาพฤติกรรมนี้จนกระทั่งเป็นเทศกาลและเอกลักษณ์ของชีอะฮฺโดยเฉพาะ โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆในวันไว้ทุกข์นี้ แต่สิ่งที่น่าอัปยศอย่างยิ่งและเป็นการทำลายหลักการอัลอิสลาม คือการทำร้ายร่างกายตัวเองในวันที่ 10 มุฮัรรอม ตามถนนและสถานที่สาธารณะ ซึ่งกลุ่มชีอะฮฺจะถือว่าเป็นการแสดงพลังของพวกเขา และจะออกมาชุมนุมตามสถานที่สาธารณะต่างๆ และจะมีการตบหน้าตบอก หรือใช้อาวุธต่างๆในการทำร้ายตัวเองจนเลือดไหล เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของพวกเขา คือรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท่านอัลหุซัยนฺ อิบนุอะลี ได้ประสบ พฤติกรรมดังกล่าวกลุ่มชีอะฮฺจะปฏิบัติกันทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทย ถึงแม้ว่ามีนักปราชญ์ของกลุ่มเขาได้ประกาศว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอุตริกรรมที่ไม่อนุญาตให้กระทำโดยเด็ดขาด แต่ชีอะฮฺโดยทั่วไปยังยืนหยัดในการแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ โดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของชาวมุสลิม ดังนั้นอะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺต้องประกาศความไม่เห็นด้วยกับลัทธิชีอะฮฺ รวมถึงประกาศประณามพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อให้สังคมรับรู้ว่าผู้มีพฤติกรรมนั้นไม่ใช่มุสลิมที่แท้จริง
ليست هناك تعليقات:
إرسال تعليق